ผู้บริหารระดับแถวหน้าตบเท้าร่วมงานสัมมนาการพลิกโฉมประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ในงาน Future Forum 2025: The Great Transformation ที่จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคธุรกิจทั้งอุตสาหกรรมและการเงิน ใช้งบลงทุนหลายแสนล้านบาท เพื่อปรับลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืนที่ไม่ใช่แค่เป้าหมาย Net Zero แต่คือตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ที่เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจในโลกธุรกิจยุคใหม่

Reinvent Thailand ขับเคลื่อนอนาคตไทยยั่งยืน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อเรื่อง "Reinvent Thailand for a Sustainable Future" ว่าในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตแบบชะลอตัว ทั้งจากความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกผนวกกับเครื่องยนต์หลายตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศเผชิญกับข้อจำกัดและความท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งจากการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว และผลกระทบจากความผันผวนและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ไม่รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนส่วนใหญ่ที่หันไปขยายการลงทุนในต่างประเทศ แต่ชะลอการลงทุนภายในประเทศในปัจจุบัน หรือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อภายในประเทศ ในขณะที่ภาครัฐมีข้อจำกัดในการลงทุนจากการดำเนินนโยบายที่ขาดดุลการคลังมาต่อเนื่อง และการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ผ่านมา
"แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนรับผิดชอบการบริหารจัดการในส่วนของตัวเอง และทำงานร่วมกัน โดย Reinvent Thailand - A Platform for Policy Co-Creation and Execution ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง สร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยภาคเอกชน ต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนทั้งโครงสร้างธุรกิจ ลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร และสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน ในขณะที่ภาครัฐต้องเป็นผู้สนับสนุน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและขับเคลื่อนธุรกิจ และภาคการเงิน ต้องเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการลงทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อน ก้าวไปสู่เป้าหมายของความยั่งยืน ทั้งในระดับองค์กร และระดับประเทศ
ความร่วมมือผลักดันความยั่งยืนต้องใช้ทั้งศาสตร์ และศิลปะ
นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ "The Arts & Sciences of Sustainability" ว่า "ความยั่งยืนเป็นเรื่องของศิลปะและวิทยาศาสตร์ ความยั่งยืนมีทั้งมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันการพูดถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม ไม่ได้พูดถึงเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการใช้พลังงานสะอาดเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทบโดยตรงกับการใช้ชีวิตของผู้คน จากรายงานขององค์การสหประชาชาติระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้คนกว่า 200 ล้านคนต้องอพยพและย้ายที่อยู่อาศัย
การพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องของการใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาแก้ไขปัญหา ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ การพัฒนาพลังงานทางเลือก การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ทั้งหมดต้องใช้ศิลปะในการเจรจา การสื่อสาร และการทำให้ผู้คนเข้าใจถึงปัญหาในแบบเดียวกัน และร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ปัจจุบันทั่วโลก มีประชากรที่มีปัญหาความยากจนมากกว่า 700 ล้านคน มีความเหลื่อมล้ำของรายได้ของประชากร รวมไปถึงเพศสภาพและความเข้าใจที่ไม่เท่ากัน การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศจึงไม่ได้เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์เท่านั้นแต่เป็นเรื่องของศิลปะในการเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคนอื่น การมองผ่านสายตาคนอื่นที่ต่างจากของเรา ความสามารถในการเปลี่ยนมุมมองของคนอื่นให้เหมือนกับเรา" นางต้องใจกล่าว
ภาคอุตสาหกรรม-การเงิน ทุ่มเงินลงทุนกว่าแสนล้านตั้งเป้า Net Zero 2593
ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาพลังงานและความยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ปตท. ใช้งบประมาณไป 33,000 ล้านบาทในการพัฒนาเทคโนโลยี ดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต รวมทั้งการปรับสัดส่วนการใช้พลังงานจากฟอสซิล มาสู่พลังงานทางเลือก เพื่อให้ดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
"หน้าที่หลักของปตท. คือ การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ การเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น ต้องแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่มาทดแทนพลังงานภายในประเทศที่ลดลงในราคาที่เหมาะสม และต้องทำให้พลังงานที่นำมาใช้เป็นพลังงานสีเขียว เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราศึกษาและพัฒนาแนวทางการใช้พลังงานอยู่ตลอดเวลา การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานใหม่ๆ ได้มากขึ้นในต้นทุนที่ถูกลง" ดร.ชญาน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปัจจุบัน ปตท. ริเริ่มโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage - CCS) แห่งแรกของประเทศไทยที่แหล่งก๊าซฯ อาทิตย์ โดยใช้งบลงทุน 10,000 ล้านบาท เพื่อให้กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันในปี 2571 และอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ที่จะทำที่ระยอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ ปตท. ดำเนินการเพื่อให้สามารถก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์"
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "Striving for Net Zero: The Plan for Planet" ว่า "ธนาคารให้ความสำคัญเรื่องของความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่อง Climate Crisis เป็นปัจจัยหลักในการวางกลยุทธ์ของกลุ่ม SCBX ธนาคารให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกทั้งในส่วนขององค์กร และลูกค้าของธนาคารทั้งหมด การวางตำแหน่งทางการตลาด (Market Positioning) ในฐานะพันธมิตรที่ลูกค้าไว้วางใจในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมีเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจที่มีการปรับปรุงโครงสร้างและกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และธุรกิจที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมูลค่า 150,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2566-2568 ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อในกลุ่มนี้ได้ถึง 118,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการปล่อยสินเชื่อในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ซึ่งนอกจากการทำให้ภาคธุรกิจเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับปรุงโครงสร้าง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแล้ว และที่สำคัญ คือ ต้นทุนทางการเงินหรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจสีเขียว ที่มีการปรับลดลงมาต่ำกว่าสินเชื่อในการดำเนินธุรกิจปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย สร้างโอกาสให้ SCBX เป็นผู้นำด้าน Green Financing และเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความยั่งยืนให้องค์กรในระยะยาว หรือที่เรียกว่า License to Operate ในโลกธุรกิจยุคใหม่"
ด้านนายวชิระชัย คูนำวัฒนา Deputy Chief Sustainability Officer เอสซีจี ได้แสดงความคิดเห็นในการสัมมนาหัวข้อเดียวกันว่า "อุตสาหกรรมของ เอสซีจี เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตก๊าซเรือนกระจกมาก ทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ลดก๊าซเรือนกระจก และได้ประกาศในปี 2564 ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25% ภายในปี 2573 และเป็นศูนย์ ในปี 2593 ปัจจุบันเอสซีจี สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 20% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกของบริษัท คือ การเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานทางเลือก รวมไปถึงการผลิตสินค้าที่ปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ (Low Carbon Products) โดยเริ่มจากสินค้าในกลุ่มซีเมนต์ โดยปัจจุบันสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จากกระบวนการผลิตซีเมนต์ได้ในสัดส่วน 40-50% เมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตเดิม" นายวชิระชัยกล่าว และเพิ่มเติมว่า
"การขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์เป็นเรื่องใหญ่ ที่เอสซีจีให้ความสำคัญ เราตั้งเป้าหมายไว้ แล้ววางระบบการทำงานที่ขับเคลื่อนไปทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply-chain) เพื่อให้ก้าวไปสู่เป้าหมายของบริษัท และของระดับประเทศ" ความสำเร็จในฐานะผู้นำ ปัจจุบัน SCG ได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งอุตสาหกรรม โดยร่วมมือกับภาครัฐและผู้ผลิตรายอื่นในการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและเปิดทางให้ตลาดสามารถเปลี่ยนผ่านไปด้วยกันได้แบบยั่งยืน
ในขณะที่ ดร.สวนิตย์ บุญญาสุวัฒน์ ผู้จัดการฝ่าย หน่วยงานกลยุทธ์และบริหารความยั่งยืนองค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC กล่าวว่า ปัจจุบันมีกฎระเบียบและมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ มาตรการ CBAM, EU Taxonomy, EU Deforestation และคำสั่งการรายงานความยั่งยืนขององค์กร (CSRD) ซึ่งภาคธุรกิจจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัว ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็กำลังเตรียมออกพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมาตรการ แนวปฏิบัติและกลไกต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบให้องค์กรสามารถดำเนินงานและพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
ทางด้าน PTTGC ยึดมั่นในแนวปฏิบัติด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเปิดเผยข้อมูล การบูรณาการเข้ากับธุรกิจ และการใช้ ESG เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้องค์กรได้รับรางวัลและการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับโลก พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ผ่านการยกระดับประสิทธิภาพโรงงานและกระบวนการ ผลักดันการบริหารจัดการคาร์บอน และขยายการเติบโตในธุรกิจคาร์บอนต่ำ
ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตพลาสติกรีไซเคิลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ PTTGC รณรงค์ให้มีการเก็บขยะพลาสติกจากสิ่งแวดล้อมเพื่อนำกลับมารีไซเคิล ผลิตเป็นเม็ดพลาสติก PET และพลาสติกฟู้ดเกรดทั่วไป ลดปริมาณขยะพลาสติกได้กว่า 60,000 ตันต่อปี พร้อมทั้งร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยผลักดันมาตรฐานขวดน้ำดื่มใส เพื่อให้สะดวกต่อการรีไซเคิลมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและเคมีภัณฑ์ชั้นสูง โดยนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เรามองกฎระเบียบเป็นความเสี่ยง แต่ยังสามารถพลิกเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้และกำไร ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนไปด้วยในขณะเดียวกันเครื่องมือขับเคลื่อนอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน
ผู้บริหารระดับสูงจากธนาคารกสิกรไทย และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เน้นย้ำถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร ท่ามกลางการเผชิญกับความท้าทายระดับโลก เผยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ความยั่งยืน และผลกระทบทางสังคม สู่แนวคิดใหม่ในการดำเนินธุรกิจ จากการแสวงหาผลกำไร สู่การสร้างคุณค่าและการแก้ปัญหาสังคม
ดร. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "ธุรกิจสุขภาพเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตที่น่าสนใจ และมีความต้องการด้านนวัตกรรมสูงมากโดยเฉพาะในวงการแพทย์ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คน สอดรับกับวิสัยทัศน์ของเรา ที่ต้องการมุ่งสู่องค์กรนวัตกรรมทุกภาคส่วน เพื่อให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาหรือผ่าตัดใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลน้อยลง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมแพทย์ให้ดีเพิ่มมากขึ้น และมอบบริการที่เป็นเลิศด้วยการยอมรับความแตกต่าง
การนำ AI มาใช้ในโรงพยาบาล นอกจากจะช่วยยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับโลก ยังมีบทบาทสำคัญต่อการให้บริการทางการแพทย์ AI ช่วยให้เกิดการลดต้นทุน และเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น โดยต้องสร้าง Growth Mindset และ Open Mindset ให้กับบุคลากรทุกระดับ โดยเฉพาะแพทย์และผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจับต้องได้ ต้องสร้าง Engagement และ Partnership โดยให้พนักงานได้ทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เรามั่นใจว่านวัตกรรมทางการแพทย์ของบำรุงราษฎร์ก้าวไปไกลกว่าที่หลายคนคิด สิ่งที่จะมาทดแทนไม่ได้คือ "Human Touch" หรือการดูแลด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ ซึ่งยังคงเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญที่สุด เพราะบำรุงราษฎร์ต้องการเป็น "Health Partner" ที่ดูแลสุขภาพลูกค้าทั้งในและนอกโรงพยาบาล ตลอด 24 ชั่วโมง
นายพิพิธ เอนกนิธิ ประธานกิจยั่งยืน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า "จากเดิมที่ธนาคารเคยเน้นกำไร การปล่อยกู้ และค่าธรรมเนียม ไปสู่การเป็นพลังในการปฏิรูปประเทศไทย (Transform Thailand) จากปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศที่น่ากังวล ไม่ว่าจะเป็น Productivity ที่ต่ำกว่ามาเลเซียเกือบเท่าตัวและต่ำกว่าสิงคโปร์ถึง 6 เท่า ปัญหาทักษะแรงงานไม่ตรงความต้องการ หนี้สาธารณะที่ชนเพดาน และความพร้อมด้าน AI ที่อยู่ในอันดับ 9 ของเอเชียแปซิฟิก KBank จึงเปลี่ยนมุมมองในการขับเคลื่อนองค์กรผ่าน "3 เลนส์" ในการมองปัญหาและการดำเนินธุรกิจที่มองกว้างและลึกกว่าเดิม คือ 1) Financial Lens หรือ เลนส์การเงิน ยังคงคำนึงถึงกำไรและผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 2) Ecosystem Lens หรือ เลนส์ระบบนิเวศ ธนาคารเปรียบเสมือน "ท้อง" ของเศรษฐกิจ หากระบบนิเวศไม่รอด ธนาคารก็ไม่รอด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ไซส์ M จึงต้องสร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือให้ลูกค้าแข็งแรงและเติบโตไปด้วยกัน และ 3) Socio-ecological Lens หรือ เลนส์สังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากการทำเงินแล้ว ยังต้องมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกในทางที่ดีขึ้น โดยบูรณาการแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรม โดย AI จะเข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรม ทำให้บริการถูกลง เข้าถึงง่ายขึ้น และคุณภาพคงเดิม ซึ่งในอุตสาหกรรมการเงินและสุขภาพเคยถูกเรียกว่า "สามสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้พร้อมกัน"
เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์นี้ให้เกิดขึ้นจริง กสิกรไทยได้ริเริ่มโครงการที่เป็นรูปธรรมมากมาย เช่น การตั้งบริษัทเพื่อนำซอฟต์แวร์ระดับโลก มาให้บริการโรงแรมขนาดเล็กในราคาที่เข้าถึงได้ แก้ปัญหาที่เคยเสียเปรียบโรงแรมใหญ่ หรือการตั้งบริษัทเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องการวัดผลและทวนสอบคาร์บอนแก่ลูกค้า ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารโดยตรง แต่ถ้าเราสามารถช่วยลูกค้าจำนวนมากได้ในสเกลที่ใหญ่ มันก็คือหน้าที่ของเรา"
ทั้งหมดนี้ คือวิสัยทัศน์ของผู้บริหารในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ที่สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ เป้าหมาย แต่เป็นการขับเคลื่อนบนเส้นทางที่มีมิตรภาพ และความยั่งยืนร่วมกัน
Future Forum 2025: The Great Transformation จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และได้รับการสนับสนุนจาก เอไอเอส อะคาเดมี บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส โกลบอล เซอร์วิสเซส จำกัด เอสซีจี บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)