บีโอไอ ผนึกกำลังภาคเอกชน ร่วมงานเซมิคอนดักเตอร์อาเซียน "ASEAN Semiconductor Summit 2025" ที่มาเลเซีย ขึ้นเวทีประกาศความพร้อมและศักยภาพของไทย ในการเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ชั้นนำของภูมิภาค สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนจากทั่วโลก พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ตอกย้ำบทบาทไทยในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอ ร่วมกับผู้บริหารสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทยเซมิคอนดักเตอร์ สมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย และศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่เซมิคอนดักเตอร์อาเซียน (ASEAN Semiconductor Summit 2025) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวทีนานาชาติด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญที่สุดของอาเซียน โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คนจากทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ สมาคมเซมิคอนดักเตอร์ และหน่วยงานรัฐจากประเทศต่าง ๆ โดยการเข้าร่วมงานของทีมไทยแลนด์ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอประเทศไทย รวมทั้งแผนพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ให้นักลงทุนจากทั่วโลกรับรู้ว่าประเทศไทยมีความพร้อม และมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิตชิปที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน
อุตสาหกรรมชิปเติบโต ท่ามกลางสงครามการค้าโลก
ที่ประชุมได้หารือถึงทิศทางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วและมีมูลค่าสูงมาก ปัจจุบันตลาดโลกมีมูลค่ากว่า 6.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะโตถึงระดับ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ชิปเป็นองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ยานยนต์สมัยใหม่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การแพทย์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ซึ่งชิปถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิดที่โลกประสบภาวะขาดแคลนชิป รวมทั้งสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ ได้ทำให้เซมิคอนดักเตอร์ กลายมาเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ระดับโลก ที่ส่งผลต่อทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในการแย่งชิงการลงทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ
อาเซียนจับมือสร้างซัพพลายเชนและเพิ่มอำนาจต่อรอง
การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน เป็นซัพพลายเชนที่เชื่อมโยงหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่การออกแบบ การผลิตแผ่นเวเฟอร์และวัตถุดิบต่าง ๆ การประกอบและทดสอบ รวมถึงการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยกลุ่มอาเซียนมีบทบาทสำคัญมาก เพราะสามารถทำได้ครบวงจร มีมูลค่าส่งออกเซมิคอนดักเตอร์จากอาเซียนกว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของมูลค่าส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในขั้นตอนการประกอบและทดสอบชิป ซึ่งอาเซียนเป็นฐานสำคัญของโลก โดยประเทศที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์ การกระชับความร่วมมือระหว่างอาเซียน เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยสร้างอำนาจต่อรอง และทำให้ซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ในภูมิภาคแข็งแกร่ง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
ประเทศไทยพร้อมดึงดูดอุตสาหกรรมชิป
ในงานนี้ เลขาธิการบีโอไอ ได้ขึ้นเวทีกล่าวถึงความพร้อมและความก้าวหน้าของไทยในการดึงดูดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง โดยชี้ให้เห็นจุดแข็งและปัจจัยพื้นฐานที่ดีของไทย ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบไฟฟ้าที่เสถียร ศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง บุคลากรที่มีคุณภาพ รวมทั้งอุตสาหกรรมปลายน้ำที่กำลังเติบโตสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม Power Electronics เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบกักเก็บพลังงาน
ปัจจุบันไทยเป็นฐานผลิต Hard Disk Drive (HDD) ติดอันดับ Top 3 ของโลก โดยมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ HDD ที่ป้อนให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ ฐานผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ติดอันดับ Top 5 ของโลก จากคลื่นการลงทุนที่เข้ามาไทยในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการประกอบและทดสอบชิป โดยบริษัทชั้นนำกว่า 10 ราย เช่น NXP, Toshiba, UTAC และ Microchip
นอกจากนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยังมีบริษัทระดับโลกอีกหลายรายตัดสินใจเข้ามาตั้งฐานในไทย เช่น บริษัท Infineon ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของเยอรมนี ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานผลิตชิปประเภท Power Module เป็นแห่งที่ 3 ของโลก ต่อจากเยอรมนีและจีน รวมทั้งการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา และทดสอบชิปในไทย บริษัท Analog Devices (ADI) จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาลงทุนด้านการออกแบบชิป (IC Design) และการทดสอบชิปขั้นสูงในไทย บริษัท Foxsemicon (FITI) ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่จากไต้หวัน ทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งฐานผลิตในไทยเป็นแห่งที่ 4 ของโลก ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ขอรับการส่งเสริมมากถึง 168 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.08 แสนล้านบาท
บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ เร่งจัดทำ Roadmap และพัฒนาบุคลากร
เลขาธิการบีโอไอ ได้ชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยที่จะก้าวสู่ฐานอุตสาหกรรมชิปที่โดดเด่นของภูมิภาค โดยรัฐบาลได้จัดตั้ง "คณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ" (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และเลขาธิการบีโอไอ เป็นเลขานุการ ความคืบหน้าล่าสุดกำลังดำเนินการ 2 เรื่องสำคัญ คือ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ โดยบอร์ดได้ว่าจ้างที่ปรึกษาระดับโลกมาช่วยประเมินขีดความสามารถ กำหนดเป้าหมาย วางแผนพัฒนาระบบนิเวศ แผนดึงดูดการลงทุน และออกแบบมาตรการสนับสนุน โดยคาดว่าจะนำเสนอบอร์ดได้ภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้
อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การเตรียมพร้อมบุคลากร ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ประกาศเป้าหมายสร้างบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ไม่น้อยกว่า 80,000 คน ภายใน 5 ปี โดยปัจจุบัน ได้เริ่มโครงการพัฒนาหลักสูตร Sandbox ระหว่าง 7 บริษัทชั้นนำ ร่วมกับ 15 มหาวิทยาลัยในไทย รวมทั้งการเปิดศูนย์พัฒนากำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ (National Semiconductor Training Center) 3 แห่ง ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร อีกทั้งมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และไต้หวันด้วย
"ที่ผ่านมา บีโอไอได้ร่วมกับพันธมิตรภายใต้บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ เดินหน้าสร้างความร่วมมือระดับโลกกับองค์กรนานาชาติ ทั้งสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน โดยเฉพาะสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐอเมริกา อย่าง SIA และ SEMI ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ขณะเดียวกัน เราได้เดินสายเจรจากับนักลงทุนเป้าหมาย ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และอินเดีย เพื่อเปิดเกมรุกและฟังความต้องการของภาคเอกชนโดยตรง ทั้งหมดนี้เป็นการทำงานคู่ขนาน ทั้งด้านนโยบายและภาคปฏิบัติ เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ให้ไทยเป็นฐานการผลิตเท่านั้น แต่ต้องมีบทบาทในห่วงโซ่เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ทั้งระบบในระยะยาวด้วย" นายนฤตม์ กล่าว