ไทยพาณิชย์-เนคเทค ปั้นหลักสูตร "Future Smart Reduction Bootcamp" กระตุ้นภาคผลิตลดต้นทุนพลังงาน สร้างโอกาสโตอย่างยั่งยืน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค (NECTEC) เปิดตัว Future Smart Reduction Bootcamp กลยุทธ์การลดต้นทุนพลังงาน เพื่อธุรกิจยั่งยืน หลักสูตรเข้มข้นแก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมการผลิต เรียนรู้การใช้เครื่องมือ Lean มาช่วยจัดการพลังงาน ลดความสูญเปล่าในกระบวนการ พร้อมกรณีศึกษาธุรกิจที่ทำได้จริง และฟังประสบการณ์ตรงจากผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมี นายศุภฤทธิ์ เมฆอรุณกมล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Business Banking L1 ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมเปิดโครงการหลักสูตร Future Smart Reduction Bootcamp มีเป้าหมายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคการผลิต เรียนรู้แนวโน้มเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมการผลิต มุ่งไปที่การลดความสูญเปล่า สร้างมูลค่าเพิ่ม เตรียมความพร้อมธุรกิจ ผ่านนวัตกรรมลดคาร์บอน และการลองคำนวณ Carbon Footprint ขององค์กร พร้อมลงมือคิดโครงการจริงเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในธุรกิจ

ไทยพาณิชย์-เนคเทค ปั้นหลักสูตร "Future Smart Reduction Bootcamp" กระตุ้นภาคผลิตลดต้นทุนพลังงาน สร้างโอกาสโตอย่างยั่งยืน

ธนาคารไทยพาณิชย์ และเนคเทค ร่วมกันสนับสนุนเงินทุนเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการเข้าถึงสินเชื่อและเทคโนโลยีต่างๆ โดยในส่วนของธนาคารได้แนะนำ สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ (Sustainable Financing) อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี และการให้วงเงินกู้สำหรับเช่าซื้อรถยนต์พลังงานสะอาด การติดตั้งโซลาร์เซลล์ การจัดทำระบบบำบัดน้ำเสีย และติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และอื่นๆ ที่ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG ขณะที่ทางเนคเทค ยังได้แนะนำโรงงานแห่งการเรียนรู้ดิจิทัลลีน หรือ Digital Lean Learning Factory โรงงานจำลองที่ออกแบบมาสำหรับผู้ประกอบการใช้ทดสอบการปรับปรุงกระบวนการผลิตตามแนวคิด Lean และวัดระดับความพร้อมก่อนนำไปลงมือปฏิบัติจริง


ข่าวธนาคารไทยพาณิชย์+อิเล็กทรอนิกส์วันนี้

SCB FM มองเงินบาทอาจแข็งค่าได้อีกเล็กน้อยในระยะสั้นและคาดว่าจะกลับมาอ่อนค่าได้ในปีหน้า

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) ชี้เงินบาทเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าอีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในเดือน ธ.ค. ที่พบว่ามักแข็งค่าขึ้นราว 0.8%MOM ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. และ 3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น หนุนให้บาทแข็งค่าตามได้ โดยมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปีนี้ที่ราว 31.70-32.20 สำหรับในปี 2026 มองว่า