การสำรวจของกิกะมอน ประจำปี 2568 พบว่า 91% ของผู้นำด้านความปลอดภัย กำลังเปลี่ยนแนวคิดเรื่องความเสี่ยงที่มีต่อระบบคลาวด์แบบไฮบริดในยุค AI

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี AI กำลังส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ท่ามกลางปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ภัยคุกคามแบบ LLM และความกังวลต่อระบบคลาวด์สาธารณะที่เพิ่มมากขึ้น

การสำรวจของกิกะมอน ประจำปี 2568 พบว่า 91% ของผู้นำด้านความปลอดภัย กำลังเปลี่ยนแนวคิดเรื่องความเสี่ยงที่มีต่อระบบคลาวด์แบบไฮบริดในยุค AI

กิกะมอน (Gigamon) ผู้นำด้านการสังเกตการณ์เชิงลึก (Deep Observability) ได้เผยแพร่ 2025 Hybrid Cloud Security Survey ซึ่งเป็นผลสำรวจความปลอดภัยของระบบคลาวด์แบบไฮบริด ได้เผยให้เห็นว่า โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์แบบไฮบริดกำลังเผชิญกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นจากอิทธิพลของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว การวิจัยประจำปีซึ่งถือเป็นปีที่ 3 ได้ทำการสำรวจผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยและระบบไอทีทั่วโลกจำนวนกว่า 1,000 คน จากประเทศออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โดยพบว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์เกิดการขยายตัวทั้งในด้านขนาดและความซับซ้อน ซึ่งส่งผลให้อัตราการละเมิดข้อมูลพุ่งสูงขึ้นถึง 55% ในปีที่ผ่านมา กล่าวคือเพิ่มขึ้น เฉลี่ยต่อปี 17% และการโจมตีที่สร้างขึ้นโดย AI ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวดังกล่าว

ทีมงานด้านความปลอดภัยและระบบไอทีกำลังถูกผลักให้ก้าวไปสู่จุดวิกฤต โดยข้อมูลจากสภาเศรษฐกิจโลกทำให้คาดว่า ต้นทุนทางเศรษฐกิจของอาชญากรรมทางไซเบอร์ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อบรรดาอาชญากรสามารถใช้เทคโนโลยี AI ได้คล่องตัวยิ่งขึ้น ย่อมส่งผลให้องค์กรต่างๆ ต้องพบกับปัญหาเรื่องเครื่องมือที่ขาดประสิทธิภาพและไร้ซึ่งประสิทธิผล รวมถึงระบบคลาวด์ที่กระจัดกระจายไร้ทิศทางและขีดจำกัดด้านข่าวกรองที่สำคัญ

AI กำลังปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญด้านความปลอดภัยของระบบคลาวด์แบบไฮบริด

  • บทบาทของ AI ได้เพิ่มความซับซ้อนของเครือข่ายและเร่งให้เกิดความเสี่ยงขึ้นอย่างมาก ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่า ผู้นำด้านความปลอดภัยและระบบไอที 46% กล่าวว่า การจัดการภัยคุกคามที่เกิดจาก AI ถือเป็นลำดับความสำคัญด้านความปลอดภัยระดับสูงสุดในปัจจุบัน โดยหนึ่งในสามขององค์กรรายงานว่า ปริมาณข้อมูลเครือข่ายเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากปริมาณงานของ AI ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่ง (47% ) พบว่าการโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่การปรับใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ขององค์กรกำลังเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยผู้ตอบแบบสอบถามในสัดส่วนที่มากกว่าครึ่ง (58%) ระบุว่า พวกเขาเห็นการเพิ่มขึ้นของแรนซัมแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี 2567 สิ่งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่าอาชญากรกำลังใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อแซงหน้าและโจมตีการป้องกันที่มีอยู่ในปัจจุบัน
  • ความลังเลย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งและกำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของหลักการพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบคลาวด์แบบไฮบริด ผู้ตอบแบบสอบถามชาวสิงคโปร์ 96% ยอมรับว่าพวกเขาเกิดความลังเลในเรื่องความปลอดภัยและการจัดการโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์แบบไฮบริดของตน โดยความท้าทายสำคัญที่ก่อให้เกิดความลังเลดังกล่าว ได้แก่ การขาดข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดีและมีคุณภาพสูงเพื่อรองรับการปรับใช้เวิร์กโหลด AI ที่ปลอดภัย (46%) รวมถึงการขาดข้อมูลเชิงลึกและการมองเห็นที่ครอบคลุมทั่วทั้งระบบ ซึ่งครอบคลุมถึงการเคลื่อนที่แนวราบของอาชญากรหลังจากเจาะระบบได้สำเร็จ ด้วยการขยายการโจมตีไปยังระบบอื่นๆ ภายในเครือข่ายเดียวกัน (East-West traffic) (47%)
  • ความเสี่ยงของระบบคลาวด์สาธารณะกระตุ้นให้มีการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมใหม่ ครั้งหนึ่งอาจเคยถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในช่วงเวลาที่ต้องเร่งเดินหน้าภายหลังสถานการณ์โควิด แต่ปัจจุบันระบบคลาวด์สาธารณะกำลังอยู่ภายใต้การตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ บรรดาองค์กรต่างๆ จำนวนมากกำลังพิจารณาทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ของตน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น โดยผู้นำด้านความปลอดภัยและระบบไอทีในสิงคโปร์ถึง 71% มองว่าระบบคลาวด์สาธารณะมีความเสี่ยงมากกว่าระบบในรูปแบบอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามชาวสิงคโปร์ 76% จึงรายงานว่าองค์กรของตนกำลังพิจารณาย้ายข้อมูลจากระบบคลาวด์สาธารณะไปยังระบบคลาวด์ส่วนตัวอย่างจริงจัง อันเป็นผลมาจากความกังวลด้านความปลอดภัย และ 54% ลังเลที่จะใช้ AI ในระบบคลาวด์สาธารณะ โดยอ้างถึงความกังวลเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
  • การมองเห็น คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้นำด้านความปลอดภัย เนื่องจากการโจมตีทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น ข้อจำกัดของเครื่องมือด้านความปลอดภัยที่มีอยู่จึงปรากฎให้เห็นเด่นชัดขึ้น องค์กรต่างๆ กำลังเปลี่ยนลำดับความสำคัญไปที่การมองเห็นระบบของตนได้อย่างครอบคลุม ซึ่งความสามารถนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตรวจจับและการตอบสนองต่อภัยคุกคามอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่ง (55%) ขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความสามารถของเครื่องมือปัจจุบันในการตรวจจับการละเมิด โดยระบุว่าการมองเห็นได้อย่างจำกัดถือเป็นปัญหาหลักอย่างแท้จริง สิ่งนี้ได้ส่งผลให้ 64% ระบุว่าเป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขาในอีก 12 เดือนข้างหน้า คือการตรวจสอบภัยคุกคามแบบเรียลไทม์และสามารถมองเห็นข้อมูลทั้งหมดที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่

"ทีมงานด้านความปลอดภัยกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ก้าวทันกับความเร็วในการนำ AI มาใช้ รวมถึงความซับซ้อนและความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นของระบบคลาวด์สาธารณะ" คุณคริสติ ธีลี รองประธานฝ่ายวิศวกรรมโซลูชัน ทั่วโลก บริษัท กิกะมอน กล่าวและว่า "การสังเกตการณ์เชิงลึก หรือ Deep Observability สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยการรวมข้อมูล MELT (Metrics, Events, Logs and Trace) เข้ากับข้อมูลระยะไกลที่ได้จากเครือข่าย เช่น แพ็กเก็ต โฟลว์ และข้อมูลเมตา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถด้านการมองเห็นและให้มุมมองที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับความเสี่ยง สิ่งนี้ช่วยให้ทีมงานสามารถปิดช่องโหว่ด้านการมองเห็น เดินเกมพลิกกลับให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง และดำเนินการเชิงรุกได้อย่างมั่นใจเพิ่มมากขึ้น และการที่ผู้นำด้านความปลอดภัยและระบบไอทีในสิงคโปร์ในสัดส่วนถึง 93% เห็นพ้องต้องกันว่าการนำ AI มาใช้งานได้อย่างปลอดภัยนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้น การสังเกตการณ์เชิงลึกจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นเชิงกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว"

การสังเกตการณ์เชิงลึก (Deep Observability) กลายเป็นมาตรฐานใหม่

จากสถานการณ์ที่เทคโนโลยี AI ได้เป็นตัวขับเคลื่อนปริมาณการรับส่งข้อมูล ความเสี่ยง และความซับซ้อนที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้บรรดาผู้นำด้านความปลอดภัยและระบบไอทีเกือบเก้าในสิบ (86%) ระบุว่าการสังเกตการณ์เชิงลึกเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานด้านความปลอดภัยและการจัดการโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์แบบไฮบริด โดยผู้นำฝ่ายบริหารกำลังให้ความสนใจในประเด็นนี้ เช่นเดียวกับบรรดาคณะกรรมการบริหารที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการมองเห็นข้อมูลทั้งหมดที่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวสิงคโปร์ 88% ยืนยันว่า ขณะนี้มีการหารือเกี่ยวกับการสังเกตการณ์เชิงลึกในระดับคณะกรรมการบริหารเพื่อป้องกันระบบคลาวด์แบบไฮบริดให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น


ข่าวปัญญาประดิษฐ์+ความปลอดภัยวันนี้

SANDISK PCIe Gen 5 ไดรฟ์ SSD ความเร็วสูงระดับองค์กร ได้รับการรับรองมาตรฐาน OCP Inspired(TM) จากองค์กร Open Compute Project

แซนดิสก์ (Sandisk) ประกาศว่า SANDISK(R) SN861 NVMe(TM) SSD รุ่น PCIe(R) Gen5 ได้รับการรับรอง OCP Inspired(TM) จากองค์กร Open Compute Project (OCP) โดยเป็นไปตามข้อกำหนด Datacenter NVMe SSD Specification และผ่านการประเมินจากมูลนิธิ OCP ในด้านประสิทธิภาพ ผลกระทบ ความเปิดกว้าง ความสามารถในการขยาย และความยั่งยืน ทั้งนี้ SANDISK SN861 NVMe(TM) SSD มีวางจำหน่ายแล้วบน OCP Marketplace เมื่อการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เติบโตอย่างต่อเนื่อง SSD ประสิทธิภาพสูงที่

OPPO แบรนด์อุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ... OPPO โชว์ศักยภาพของ AI บนอุปกรณ์ชั้นนำของอุตสาหกรรม ในงาน Snapdragon Summit 2025 — OPPO แบรนด์อุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ได้เปิดเผยความก้าวหน้าครั้งสำค...

คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ลงนา... ม.กรุงเทพ ร่วมมือ 6 หน่วยงาน ขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI เพื่ออนุรักษ์ช้างไทยอย่างยั่งยืน — คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือก...

ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเ... มจพ. จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติ ชูแนวคิดพัฒนาในยุค AI เสริมศักยภาพแรงงานไทยอย่างยั่งยืน — ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนค...

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: A... บ้านปูผนวก AI กับศักยภาพพนักงาน ขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต — ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน และเร...