CIVIL คว้างานใหม่และรอลงนามสัญญา มูลค่ารวม 3,178 ล้านบาท ตุน Backlog 13,100 ล้านบาท รุกประมูลงานเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ-เอกชน กระจายพอร์ตลดเสี่ยง เร่งส่งมอบตรงเวลา พร้อมคุมต้นทุน รักษาอัตรากำไรเสริมความแข็งแกร่ง ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 รายได้รวม 2,244 ล้านบาท กำไรสุทธิ 22 ล้านบาท

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL ผู้นำบริษัทก่อสร้างครบวงจรชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2568 แนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยบริษัทรับงานโครงการใหม่และมีโครงการที่รอลงนามสัญญา มูลค่ารวม 3,178 ล้านบาท แบ่งเป็น งานกลุ่มงานก่อสร้างถนน บำรุงถนน และงานอื่นๆ มูลค่ารวม 1,558 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอลงนามสัญญางานทาง มูลค่ารวมประมาณ 1,620 ล้านบาท ภายในไตรมาส 3 นี้
ขณะเดียวกัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายโครงการ และมีแผนเข้าประมูลงานเพิ่มเติมทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568 จำนวน 13,100 ล้านบาท รับรู้รายได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี (2569-2571)
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้าง ยังคงมีโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก อาทิ โครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 (ขอนแก่น-หนองคาย), รถไฟความเร็วสูงเฟส 2, สนามบินชุมพรและนครศรีธรรมราช (ส่วนขยาย), ดอนเมืองโทลเวย์ (รังสิต-บางปะอิน), ถนนเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา รวมถึงโครงการ PPP อื่น ๆ ถือเป็นโอกาสการรับงานของบริษัทในระยะต่อไป
"CIVIL มุ่งเน้นขยายพอร์ตงานกระจายความเสี่ยงในโครงการก่อสร้างทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก เพื่อสร้างสมดุลในการรับรู้รายได้และความต่อเนื่องของงาน โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็กที่สามารถรับรู้รายได้รวดเร็ว ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัสดุ พร้อมบริหารอัตรากำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสม ควบคู่กับการส่งมอบงานตามเวลา และการดำเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมองหาโอกาสธุรกิจใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต" นายปิยะดิษฐ์ กล่าว
ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 บริษัทมีรายได้รวม 2,244 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,308 ล้านบาท ถึงแม้ว่ารายได้จะลดลงเล็กน้อย แต่บริษัทยังคงรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับเดิม และ มีกำไรสุทธิ 22 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการช่วงไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้รวม 1,118 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,278 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 14 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท
สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวลดลง เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้การส่งมอบงานและการรับรู้รายได้ในหลายโครงการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด ทั้งนี้ บริษัทตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงได้เร่งดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเป็นระบบในทุกขั้นตอน เพื่อควบคุมความเสี่ยง และผลักดันให้โครงการกลับมาดำเนินงานได้ตามแผนที่วางไว้โดยเร็ว และทำให้บริษัทสามารถส่งมอบงานโครงการขนาดเล็กได้สำเร็จแล้วกว่า 9 โครงการ ช่วยชะลอผลกระทบจากรายได้ในโครงการขนาดกลางและใหญ่ที่เลื่อนออกไป โดยสะท้อนถึงกลยุทธ์ของบริษัทในการกระจายความเสี่ยงผ่านการผสมผสานโครงการก่อสร้างในหลากหลายขนาด เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความต่อเนื่องในการรับรู้รายได้