บมจ.ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น หรือ "TBN" เดินหน้าปั้นแพลตฟอร์มใหม่ ด้านการปล่อยสินเชื่อ-ติดตามทวงหนี้ ครบวงจร รองรับกลุ่มสถาบันการเงิน และทุกภาคส่วนที่ปล่อยสินเชื่อ มองโอกาสเติบโตสูง ตอบโจทย์ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน พร้อมเสริมทัพด้วย "ReN3" แพลตฟอร์ม Generative AI มุ่งเป้าเป็นผู้นำด้าน Intelligent Digital Solutions Accelerator อย่างยั่งยืน ล่าสุดประกาศผลงาน 9 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้จากการให้บริการรวม 286.51 ลบ. เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 14.07 ลบ. เผยรับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว พร้อม Backlog ยังแข็งแกร่งราว 304 ลบ.
นายปนายุ ศิริกระจ่างศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TBN ผู้นำด้าน Intelligent Digital Platform เปิดเผยว่า "ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยีทางการเงินครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม End-to-End Lending ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานของสถาบันการเงินในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบเครดิตบูโร การพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อ การบริหารจัดการสินเชื่อไปจนถึงระบบติดตามหนี้ (Debt Collection) และการจัดการสินทรัพย์ (AMC) โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
TBN เป็นผู้ให้บริการระบบหลังบ้านแก่สถาบันการเงินรายใหญ่หลายราย โดยรายได้กว่า 50% มาจากกลุ่มธนาคาร อาทิ ระบบ Call Center ระบบ Mobile Banking และระบบบริหารจัดการสินเชื่อ ซึ่งบริษัทพัฒนาในรูปแบบ Custom Solution เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยด้านข้อมูลในทุกกระบวนการ
หนึ่งในโมดูลสำคัญของแพลตฟอร์ม End-to-End Lending คือ ระบบติดตามทวงหนี้ (Debt Collection System) ซึ่ง TBN เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 และปัจจุบันมีลูกค้าแล้ว 2-3 ราย มูลค่างานรวมกว่า 30 ล้านบาท โดยรายได้ทยอยรับรู้ภายใน 3 ปี อีกทั้งยังมีงานใน Pipeline กว่า 200 ล้านบาท
นอกจากการพัฒนาแพลตฟอร์มปล่อยกู้ครบวงจรแล้ว TBN ยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "ReN3" แพลตฟอร์ม Generative AI ในระดับองค์กร โดย ReN3 ถูกออกแบบให้ รองรับการประมวลผลข้อมูลภายใน (On-Premise Server) สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น สถาบันการเงิน บริษัทประกัน และหน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องการใช้งานระบบ Generative AI ภายในองค์กรของตนเอง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากข้อมูลรั่วไหล"
นายปนายุ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า "ReN3 จะเป็นฐานเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ AI ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลสู่ภายนอก และสามารถต่อยอดการใช้งานได้หลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านการเงิน ประกัน ตลอดจนภาคการผลิต"
ล่าสุด บริษัทประกาศผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 โดยมีรายได้จากการให้บริการรวม 286.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเก้าเดือนของปีก่อน (YTD) คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 5% และมีกำไรสุทธิ 14.07 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) มีกำไรสุทธิ 4.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298% โดยมีรายได้จากการให้บริการรวม 95.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% แยกเป็นรายได้งานพัฒนาระบบดิจิทัลและงานให้คำปรึกษา 31.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% รายได้จากกลุ่มบำรุงรักษาระบบและสนับสนุนด้านเทคโนโลยีมีรายได้อยู่ที่ 52.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และมีรายได้จากงานอื่น ๆ 11.50 ล้านบาท ลดลง 18%
นายปนายุ เปิดเผยว่า "รายได้รวมในไตรมาส 3 ยังทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน" โดยรายได้จากงานบำรุงรักษาระบบและงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยียังคงเติบโตต่อเนื่อง จากสัญญาระยะยาวและการให้บริการตามข้อตกลง Service Level Agreement (SLA) อย่างไรก็ตาม รายได้จากงานพัฒนาระบบดิจิทัลและงานให้คำปรึกษาปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุนด้านเทคโนโลยี ส่งผลให้จำนวนโครงการใหม่ลดลง และมีแนวโน้มที่ลูกค้าจะแบ่งโครงการขนาดใหญ่ออกเป็นเฟสย่อยเพื่อบริหารงบประมาณและกระจายความเสี่ยง ทำให้มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการลดลงตามไปด้วย
แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้รายได้รวมและกำไรขั้นต้นของกลุ่มบริษัทลดลง ขณะที่ต้นทุนหลักด้านบุคลากรยังอยู่ในระดับเดิม จึงส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้อยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 3.97 เท่า สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้ในระดับสูง และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.05 เท่า แสดงถึงโครงสร้างเงินทุนที่มั่นคงและความเสี่ยงทางการเงินต่ำ
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวม 304 ล้านบาท แบ่งเป็นงานพัฒนาระบบดิจิทัลและที่ปรึกษา 62 ล้านบาท งานบำรุงรักษาระบบและสนับสนุนเทคโนโลยี 225 ล้านบาท และงานอื่น ๆ อีก 16 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตามแผนดำเนินโครงการ ภายในปีนี้ประมาณ 96 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 208 ล้านบาท รับรู้ในปีถัดไป
สำหรับแนวโน้มธุรกิจช่วงที่เหลือของปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าผลักดันแพลตฟอร์ม End-to-End Lending และแพลตฟอร์ม Mendix (Low-Code) ซึ่งยังคงมี Demand เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้ากลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการประมาณ 50-100 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มสถาบันการเงินและประกันภัย คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในไตรมาส 1/2569 ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างสรุปผลการเจรจางานโครงการขนาดเล็กด้วย คาดว่าจะทราบผลภายในไตรมาส 4/2568 นี้
TBN คว้า CGR ระดับ "ดีเลิศ" 5 ดาว ต่อเนื่องปีที่ 2 สะท้อนมาตรฐานธรรมาภิบาลระดับสากล
TBN จัด TECHDAY เปิดโลก "Agentic AI" ผสาน Low-Code ยกระดับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันไทย
TBN ติดสปีด พัฒนาระบบทวงหนี้ "Debt Collection" ปิดดีลแรกสำเร็จ เล็งดันพอร์ตผลิตภัณฑ์ใหม่แตะ 300 ล้านบาท
TBN ร่วมเสวนา mai Growth Lab 2025 ชู AI กุญแจสำคัญ พลิกโฉมระบบนิเวศธุรกิจดิจิทัลไทย
TBN มุ่งสู่ผู้นำด้าน Intelligent Digital Solutions Accelerator อย่างยั่งยืน งบครึ่งปีโกยรายได้กว่า 190 ลบ. โต 5% Backlog แข็งแกร่งอยู่ที่ 350 ลบ.
TBN ตอกย้ำธรรมาภิบาล คว้าคะแนนเต็ม 100 คะแนน "ระดับดีเยี่ยม" จากการประเมิน AGM Checklist 2 ปีต่อเนื่อง
TBN Corporation เขย่าวงการเทคฯ ในงาน Techsauce Global Summit 2025
TBN ผนึกกำลังเสริมเกราะแกร่งไซเบอร์ เปิด 5 กลยุทธ์ป้องกันภัยบนแอปฯ ด้วย Mendix Low-Code