2 นักวิจัยหญิง สวทช. คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย พิสูจน์ผลงานวิจัยสร้างคุณค่าแก่ประเท

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

2 นักวิจัยหญิง สวทช. เจ้าของผลงานการวิจัยพัฒนา "ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร" และ "การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง" คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" ประจำปี 2568 จัดโดยลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำอุดมการณ์ สวทช. ที่มุ่งสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนางานวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของชาติ และนำพาประเทศสู่ความยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)

2 นักวิจัยหญิง สวทช. คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย พิสูจน์ผลงานวิจัยสร้างคุณค่าแก่ประเท

วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (ASF) สายพันธุ์ไทย ความหวังควบคุมโรคระบาด 2 นักวิจัยหญิง สวทช. คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย พิสูจน์ผลงานวิจัยสร้างคุณค่าแก่ประเท

โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ African Swine Fever (ASF) เป็นโรคระบาดรุนแรงในสุกรที่เกิดจากเชื้อไวรัส African swine fever virus (ASFV) พบระบาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2565 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทย โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดเล็กหรือขนาดกลาง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้เกษตรกรจำนวนมากต้องปิดฟาร์ม ขาดรายได้ และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องประสบปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง รวมถึงการนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงต่อโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น โรคหูดับ หากมีการบริโภคเนื้อสุกรที่ปรุงไม่สุก

ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเป็นโรคอุบัติใหม่ ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยีพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการพัฒนาวัคซีนที่แทบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ ดังนั้นมาตรการที่ใช้ควบคุมการระบาดของโรค ASF ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังทำได้เพียงการสร้าง "ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity" เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่เข้าหรือออกจากฟาร์ม แต่ด้วยต้นทุนการจัดการฟาร์มที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นเรื่องยากที่ฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางจะลงทุนเพื่อหวนกลับเข้าสู่วงจรธุรกิจได้

การวิจัยพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาโรคระบาด ASF ได้ และนั่นคือโจทย์เร่งด่วนให้ ดร. สพญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ และทีมวิจัยเดินหน้าพัฒนา "วัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF" หนึ่งในแผนงานการพัฒนา "วัคซีนสัตว์" ภายใต้กลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand ของ สวทช. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัยแก้ปัญหาสำคัญของชาติ และตอบโจทย์มิติการพึ่งพาตนเอง

ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า ทีมวิจัยเร่งศึกษาสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัส ASF เทคโนโลยี จนถึงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบ โดยอาศัยฐานเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ไบโอเทค สวทช. สั่งสมมายาวนาน จนกระทั่งพัฒนา "วัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์" จาก "ไวรัสสายพันธุ์ไทย" ได้สำเร็จ รวมทั้งมีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน

"ผลการศึกษาเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70-100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง โดยจะเริ่มทดสอบในฟาร์มขนาดเล็กภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนต้นแบบในการป้องกันโรค ASF อย่างละเอียดก่อนที่จะขยายผลในวงกว้างต่อไป"

ทั้งนี้หากผลการทดสอบวัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในฟาร์มจริงประสบความสำเร็จ จะเป็นความหวังในการพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยฟื้นฟูฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางให้หวนกลับมาทำอาชีพได้อีกครั้ง

"ทุกวันนี้แรงบันดาลใจสำคัญในการทำวิจัยคือ "เกษตรกรไทย" เพราะแม้พวกเขาจะเคยสูญเสียทุกอย่างจากโรค ASF แต่จากการลงพื้นที่สัมผัสได้ว่า พวกเขายังคงมีความหวังที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรซึ่งเป็นอาชีพหลักและอาจเป็นอาชีพเดียวได้อีกครั้ง ดังนั้นถ้าวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้ฟาร์มเล็ก ๆ ของเกษตรกรฟื้นคืนกลับมาได้ และช่วยให้พวกเขามีรายได้และชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นความภูมิใจสูงสุดในฐานะนักวิจัย"

การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF นอกจากจะเป็นความหวังที่ช่วยพลิกฟื้นอุตสาหกรรมสุกรแล้ว ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงลดการพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศในอนาคต ที่สำคัญองค์ความรู้ เครื่องมือและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการวิจัยครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่น ๆ เพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้ด้วยตนเองในอนาคต

ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF และการวิจัยพัฒนาวัคซีนสัตว์อื่น ๆ ในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือและผลักดันจากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และบริบทของกฎหมายที่จะช่วยส่งเสริมการผลิตวัคซีนสัตว์ที่มีมาตรฐานสากลและการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะทำให้ทีมวิจัยสามารถต่อยอดจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมได้ เป็นความหวังที่อยากให้เกิดการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนสัตว์เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันในภูมิภาคได้

"การได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทยในครั้งนี้ ทำให้รู้สึกดีใจและภูมิใจที่แม้งานวิจัยการพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ยังมีคนมองเห็นคุณค่าในความพยายามและความอดทนในการทำงานวิจัยที่เป็นเรื่องใหม่ โดยเฉพาะการทดสอบในสุกรซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญและทำงานภายใต้ข้อจำกัดมากมาย ก็ทำให้หายเหนื่อยและเป็นกำลังใจให้ทีมวิจัยก้าวต่อไปในโจทย์ที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยให้สามารถแก้ปัญหาแก่เกษตรกรไทยได้จริง" ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวทิ้งท้าย

"อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว" ความหวังส่งยาแม่นยำ รักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ตรงจุด

ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) เช่น มะเร็ง สมองเสื่อม เบาหวาน ไขมันและหลอดเลือด เป็นปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของทั้งหมดหรือประมาณ 41 ล้านคนต่อปี ขณะที่ประเทศไทยพบจำนวนผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDs เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่า 75% ของผู้เสียชีวิตต่อปี นอกจากนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยประชากรกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค NCDs ได้ง่าย ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับกลุ่มโรค NCDs เป็นโจทย์สำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากขึ้น

ดร.มัตถกา คงขาว ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า ปัจจุบันการรักษาโรคในกลุ่ม NCDs แบบเดิมยังมีข้อจำกัดมาก เช่น ยาดูดซึมได้ไม่ดี มีการกระจายไปทั่วร่างกายแบบไม่จำเพาะ ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ตัวยาสำคัญเกิดการสลายตัวในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่จำเพาะเจาะจง นอกจากนี้ตัวยาหรือสารออกฤทธิ์บางตัวที่ไวต่อสภาพแวดล้อม เช่น เพปไทด์หรือสารสมุนไพร มักเสื่อมสลายง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง ที่สำคัญผู้ป่วยบางรายมีโรคร่วมหลายอย่าง ทำให้ต้องรับประทานยาจำนวนมาก

"การนำเทคโนโลยีนาโนมาใช้พัฒนาระบบนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง คือหนทางควบคุมการปลดปล่อยยาได้ตรงจุด เพิ่มเสถียรภาพของยา และช่วยให้ยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยนาโนเทคทำงานอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปีในการพัฒนา "อนุภาคนาโนไขมันกักเก็บยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API)" โดยดัดแปลงพื้นผิวของอนุภาคนาโนไขมันให้มีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงกับโรคนั้น ๆ เช่น การเพิ่มอนุภาคที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ การเพิ่มตัวจับเฉพาะกับเซลล์เป้าหมาย การปรับประจุพื้นผิวให้เกาะกับเนื้อเยื่อดีขึ้นเพื่อให้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี"

ปัจจุบันอนุภาคนาโนไขมันที่ออกแบบมีความจำเพาะกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคทางระบบประสาทเสื่อม มะเร็ง การอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ไขมันช่องท้องและในเลือด รวมถึงความชราของผิวหนัง และอื่น ๆ

"ยกตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องให้ยาคีโมซึ่งปัจจุบันยาคีโมมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวผิดปกติอย่างไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ยาคีโมไปทำลายเซลล์รากผมหรือเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงหรืออาเจียน ดังนั้นหากใช้อนุภาคนาโนไขมันนำส่งยาไปยังเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง จะช่วยลดผลข้างเคียงและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยก็ดีขึ้น หรือในกรณีผู้ป่วยสูงอายุกลุ่มโรค NCDs ที่มักมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไตวายเรื้อรัง อาจต้องรับประทานยาปริมาณมาก ขณะที่ยาเหล่านั้นอาจออกฤทธิ์แค่ 10-20% เท่านั้น การใช้อนุภาคนาโนไขมันเข้าไปช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหาร จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สามารถลดปริมาณยาและลดการได้รับผลข้างเคียงจากยา ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น"

ขณะนี้เทคโนโลยีผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับ Pre-Clinic ในสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างต่อยอดการทดสอบทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีร่วมกับพันธมิตรและเครือข่าย ทั้งคณะเภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หากได้ผลดีจะมีการทดสอบในอาสาสมัครที่มีแนวโน้มเป็นโรคในกลุ่ม NCDs และผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่ม NCDs ต่อไป โดยทีมวิจัยคาดว่าจะผลักดันเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ได้ภายในระยะเวลา 3-5 ปี

"การออกแบบการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแบบมุ่งเป้าด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บยาหรือสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในอนุภาคนาโนไขมันที่ดัดแปลงพื้นผิวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา บรรเทาอาการเจ็บปวด ลดผลข้างเคียงของยา และช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญหากประเทศพัฒนานวัตกรรมได้เอง จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น"

อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอนุภาคนาโนที่ ดร.มัตถกา พัฒนาขึ้น ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การรักษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีแผนนำไปใช้ในเชิงเวชศาสตร์ป้องกันในด้านการชะลอและป้องกันการเกิดโรค NCDs รวมถึงประยุกต์ใช้ในการกักเก็บสารสกัดหรือสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย

"อนุภาคนาโนไขมันที่พัฒนาขึ้นยังใช้กักเก็บสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive) จากสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ในเรื่องการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคในกลุ่ม NCDs รวมถึงกักเก็บสารสกัดสำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำอนุภาคนาโนไขมันไปใช้กักเก็บสารสกัดกระชายดำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และปัจจุบันสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกระชายดำในเชิงเวชสำอางและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของผลงานวิจัยภายใต้แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทยเพื่อความงาม สุขภาพ และอายุยืนยาว (PhytoEX) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในมิติเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย และสอดรับกับแผนนโยบายประเทศในการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยที่มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน"

อนุภาคนาโนไขมันไม่เพียงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสุขภาพของคนไทย แต่ยังเป็นองค์ความรู้ที่ช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางคุณภาพสูงในอนาคต

ดร.มัตถกา กล่าวว่า การได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทยจากลอรีอัลในครั้งนี้ รู้สึกภูมิใจและปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นรางวัลที่มีคุณค่าสูงสุดแล้วสำหรับนักวิจัยหญิง ดีใจที่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเห็นคุณค่าในผลงานวิจัย เนื่องจากรางวัลนี้มีการพิจารณาจากผลงานที่ตอบโจทย์หรือสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้จริง ฉะนั้นการได้รางวัลจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันหรือสะท้อนให้เห็นว่า งานวิจัยและแผนกลยุทธ์ที่ สวทช. ผลักดันนั้นมาถูกทาง และสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้จริง

"ในฐานะนักวิจัยรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เห็นงานวิจัยไปถึงมือผู้ใช้ หรือถ่ายทอดสู่ผู้ประกอบการเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ ปัจจุบันพยายามผลักดันอนุภาคนาโนไขมันเพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากสมุนไพร และยาสมุนไพรให้สำเร็จ รวมทั้งวางแผนวิจัยต่อยอดในกลุ่มโรคติดเชื้อ เพราะทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยามากขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายสูงสุดของการทำวิจัยที่มุ่งหวังไว้คือให้คนไทยได้ใช้นวัตกรรมแล้วมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน"


ข่าวเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์+วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวันนี้

ลอรีอัล กรุ๊ป มุ่งมั่นขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และพลังสตรี ส่งเสริมบทบาทนักวิทยาศาสตร์หญิงสู่การเปลี่ยนแปลงโลก

ประกาศมอบทุนเชิดชูเกียรติ 4 นักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" ประจำปี 2568 นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา และ นางสาวอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ 4 นักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" ประจำปี 2568 (จากซ้ายไปขวา) รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง

ลอรีอัล เปิดรับสมัครชิงทุนวิจัย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ครั้งที่ 13ประจำปี 2558

บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด โดยการสนับสนุนของสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศเปิดรับสมัครนักวิทยาศาสตร์สตรีไทย อายุระหว่าง 25 – 40 ปี ...

ภาพข่าว: ลอรีอัล ร่วมแสดงความยินดีกับ มรว. ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ในโอกาสรับมอบปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาชีวเคมี

ลอรีอัล ร่วมแสดงความยินดีกับ มรว. ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ในโอกาสรับมอบปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาชีวเคมี ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิดี...