นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยสถิติการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - ตุลาคม 2568) มีการยื่นคำขอจดทะเบียนสูงถึง 62,961 คำขอ เพิ่มขึ้น 7.80% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (58,403 คำขอ) และมีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ 11,531 รายการ ลดลง 11.81% จากปี 2567 (13,075 รายการ) โดยรายละเอียดการยื่นคำขอจดทะเบียนและแจ้งข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา (74,492 คำขอ) ดังนี้
1) เครื่องหมายการค้า มีการยื่นคำขอ 46,525 คำขอ เพิ่มขึ้น 9.25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (42,585 คำขอ) สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บริการด้านการขายและการตลาด (6,050 คำขอ) สินค้าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและความงาม (5,952 คำขอ) ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและความงาม เป็นกลุ่มสินค้าที่มาแรงและมีการยื่นคำขอจดทะเบียนมากที่สุดในหมวดกลุ่มสินค้า เพิ่มขึ้น 36.45 % จากปี 2567 (4,362 คำขอ) โดยเป็นคำขอที่ยื่นผ่านช่องทาง Fast Track จำนวน 1,830 คำขอ สะท้อนเทรนด์การค้าที่มุ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องความงามมากขึ้น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอนามัย (5,173 คำขอ) เครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (3,913 คำขอ) และผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย (3,638 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอเครื่องหมายการค้า คนไทย 52% และต่างชาติ 48% สำหรับผู้ยื่นคำขอมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ป๊อป มาร์ท (สิงคโปร์) โฮลดิ้ง พีทีอี.แอลทีดี (236 คำขอ) สะท้อนกระแสความนิยมของสินค้าอาร์ตทอยที่ยังคงมาแรงต่อเนื่องในไทย ตามมาด้วยบริษัท เดอะ เกรท ไอเดีย จำกัด (108 คำขอ) บริษัท คอสมี่ จำกัด (99 คำขอ) เอ็มซี โอ (ไอพี) โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด (78 คำขอ) และเอสเอ็ม เอนเตอร์เทนเมนท์ โค.,แอลทีดี (76 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 33,775 เครื่องหมาย
2) สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีการยื่นคำขอ 6,929 คำขอ เพิ่มขึ้น 2.76% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (6,743 คำขอ) สำหรับนวัตกรรมที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ วัสดุเหล็กกล้า (179 คำขอ) ยังคงครองอันดับ 1 สองปีต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมวัสดุและการก่อสร้างที่มีการพัฒนานวัตกรรมไม่หยุดนิ่ง รองลงมาคือนวัตกรรมแอนติบอดี้และยาชีววัตถุ (95 คำขอ) สะท้อนความสนใจที่เพิ่มขึ้นในด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการวิจัยยา ตามด้วยนวัตกรรมแบตเตอรีและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (65 คำขอ) ระบบสื่อสารและอุปกรณ์ส่งสัญญาณ (33 คำขอ) และเคมีอินทรีย์ (26 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรการประดิษฐ์ คนไทย 11% และต่างชาติ 89% อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เป็นต้น สำหรับผู้ยื่นคำขอมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น (184 คำขอ) บริษัท ควอลคอมม์ อินคอร์ปอเรเต็ด (168 คำขอ) บริษัท นิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น (150 คำขอ) บริษัท โตโยต้า จิโดชา คาบูชิกิ ไคชา (140 คำขอ) และบริษัท โนเกีย เทคโนโลยี โอวาย (76 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4,496 ฉบับ
3) สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีการยื่นคำขอ 5,442 คำขอ ลดลง 2.29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (5,569 คำขอ) สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ลวดลายผ้า (861 คำขอ) ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ยื่นคำขอเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัย รถยนต์ (522 คำขอ) ซึ่งเป็นสาขาที่มาแรงขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 (จากอันดับ 4 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568) บรรจุภัณฑ์ (448 คำขอ) เครื่องประดับ (346 คำขอ) และเฟอร์นิเจอร์ (288 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ คนไทย 68% และต่างชาติ 32% สำหรับผู้ยื่นคำขอมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท อาร์เอช ยูเอส, แอลแอลซี (66 คำขอ) บริษัท เป๋า ลี่ ไหล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (45 คำขอ) บริษัท บีอีจีเอ กันเทนบริงค์-ลอยช์เทน เคจี (32 คำขอ) บริษัท โตโยต้า จิโดชา คาบูชิกิ ไคชา (30 คำขอ) และบริษัท วีล พรอส, แอลแอลซี (28 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4,197 ฉบับ
4) อนุสิทธิบัตร มีการยื่นคำขอ 4,065 คำขอ เพิ่มขึ้น 15.94% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (3,506 คำขอ) สำหรับนวัตกรรมที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองอนุสิทธิบัตรมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (476 คำขอ) ยังคงครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง ยาสมุนไพร (207 คำขอ) สะท้อนความสนใจด้านสุขภาพที่นำนวัตกรรมยาไทยแบบดั้งเดิมมาพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย (57 คำขอ) สารพันธุกรรม (20 คำขอ) และอุปกรณ์เกี่ยวกับแสง (14 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขออนุสิทธิบัตร เป็นคนไทย 92% และต่างชาติ 8% สำหรับผู้ยื่นคำขอมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (144 คำขอ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (111 คำขอ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (102 คำขอ) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (95 คำขอ) และมหาวิทยาลัยบูรพา (85 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1,686 ฉบับ
5) ลิขสิทธิ์ มีการยื่นแจ้งข้อมูล 11,531 ผลงาน ลดลง 11.81% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (13,075 ผลงาน) ผลงานที่มีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ศิลปกรรม (จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ฯลฯ) 4,093 ผลงาน วรรณกรรม (งานนิพนธ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์) 3,517 ผลงาน ดนตรีกรรม 2,583 ผลงาน โสตทัศนวัสดุ (ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์) 821 ผลงาน และสิ่งบันทึกเสียง 303 ผลงาน ทั้งนี้ สัดส่วนผู้ยื่นแจ้งข้อมูลผลงานลิขสิทธิ์ เป็นคนไทย 99% และต่างชาติ 1% สำหรับผู้ยื่นแจ้งข้อมูลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล (345 ผลงาน) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (297 ผลงาน) บริษัท ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) (179 ผลงาน) บริษัท สรีทสิสร์ จำกัด (119 ผลงาน) และบริษัท โอเพ่นดูเรียน จำกัด (109 ผลงาน) อย่างไรก็ดี ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างสรรค์ โดยไม่ต้องยื่นจดทะเบียนกับกรม สถิติดังกล่าวจึงไม่สามารถสะท้อนภาพรวมของงานสร้างสรรค์ไทยได้ทั้งหมด อย่างไรก็ดี กรมจะเดินหน้าส่งเสริมให้ศิลปินนักสร้างสรรค์เห็นความสำคัญของการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์กับกรม เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงเบื้องต้นในการแสดงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในกรณีที่เกิดข้อพิพาท รวมทั้งเป็นช่องทางให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึงผลงานและติดต่อขอใช้ประโยชน์งานลิขสิทธิ์นั้นได้ง่ายขึ้น
นางอรมน เสริมว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญามุ่งมั่นที่จะพัฒนางานบริการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยในการสืบค้นข้อมูลเครื่องหมายการค้าและสิ่งประดิษฐ์ ตลอดจนจัดให้มีช่องทางเร่งรัด (Fast Track) ที่สามารถจดทะเบียนได้รวดเร็วขึ้น สำหรับสาขาที่เป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตและที่ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วน ได้แก่ 1) สิทธิบัตรการประดิษฐ์/อนุสิทธิบัตร ใน 3 นวัตกรรม คือ นวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุข นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต และนวัตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ลดระยะเวลาจดทะเบียน จาก 38.5 เดือน นับจากวันยื่นให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ เหลือ 12 เดือน และอนุสิทธิบัตร จาก 12 เดือน นับจากวันที่เข้าร่วมโครงการ เหลือ 6 เดือน 2) สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในสาขานวัตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดระยะเวลาจดทะเบียนจาก 10 เดือน นับจากวันที่เข้าร่วมโครงการ เหลือ 3 เดือน และ 3) เครื่องหมายการค้า ในกรณีที่ต้องนำหลักฐานการจดทะเบียนไปแสดงต่อหน่วยราชการอื่น โดยลดระยะเวลาจดทะเบียนจาก 10.5 เดือน นับจากวันยื่นคำขอ เหลือ 3 เดือน พร้อมมีแผนจะขยายช่องทาง Fast Track ในสาขานวัตกรรมและสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป
เจาะบทวิเคราะห์เทรนด์ "สิทธิบัตรสิ่งทอ" หนุนไทยสู่ผู้นำนวัตกรรมสิ่งทอของอาเซียน
กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีสิทธิบัตรนวัตกรรมสิ่งทอในรอบ 20 ปี พบว่า ทั่วโลกปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีขั้นสูง แนะภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยดึงจุดแข็งด้านความหลากหลายของทรัพยากร ฐานการผลิต และเครือข่ายการวิจัย มาร่วมสร้างนวัตกรรมสิ่งทอของไทยที่ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมสิ่งทอ (Textile Tech Hub) ของอาเซียน
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยว่า ทิศทางนวัตกรรมสิ่งทอในปัจจุบันมุ่งไปใน 4 ด้านสำคัญที่ตอบโจทย์ความท้าทายแห่งอนาคต ได้แก่ (1) สิ่งทอยั่งยืน (Sustainable Textile) เป็นนวัตกรรมที่อยู่ในช่วงเติบโตอย่างแท้จริง และคาดว่าในระยะ 3 - 5 ปีข้างหน้ายังมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนจากตัวเลือกเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม โดยเน้นการพัฒนาเส้นใยและสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการใช้เส้นใยจากพืช วัสดุเหลือทิ้ง หรือวัสดุที่ย่อยสลายได้เอง ขณะเดียวกันก็มุ่งลดการใช้พลังงาน น้ำ และสารเคมีในกระบวนการผลิต มีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 800 ฉบับต่อปี โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 10 - 15 % ต่อปี และมีแนวโน้มจะเข้าสู่ช่วงเร่งเติบโตใน 3 - 5 ปีข้างหน้า โดยปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นผู้เล่นแถวหน้า ตามด้วย จีน และสหรัฐฯ ซึ่งผู้ถือสิทธิบัตรในกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่บริษัทแฟชั่นหรือสิ่งทอเท่านั้น แต่ขยายวงกว้างไปถึงสถาบันการศึกษาและอุตสาหกรรมสุขอนามัยและการแพทย์ ที่หันมาให้ความสำคัญกับนวัตกรรมสิ่งทอในผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมและผ้าเช็ดทำความสะอาด ตลอดจนวัสดุชีวการแพทย์ (2) นาโนเทคโนโลยี (Nanotech Textile) เป็นการเคลือบหรือผสมอนุภาคระดับนาโนลงไปในเส้นใยโดยตรง ทำให้ผ้ามีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง กันน้ำ ต้านแบคทีเรีย หรือป้องกันรังสี UV โดยมีจีนครองแชมป์งานวิจัยและเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมนาโนไฟเบอร์ รวมทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น รวมผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 700 ฉบับต่อปี ซึ่งตลาดนี้อยู่ในช่วงเติบโตและยังมีโอกาสเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นใหม่ (3) การผลิตอัตโนมัติ (Automation & Digitalization) เป็นการนำหุ่นยนต์ เทคโนโลยี AI และ Data Analytics เข้าสู่สายการผลิตสิ่งทอ เพื่อเปลี่ยนจากโรงงานดั้งเดิมไปสู่โรงงานอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต และลดของเสีย เทคโนโลยีดังกล่าวมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 500 ฉบับต่อปี โดยมีญี่ปุ่นและจีนเป็นผู้ครองตลาด แต่มีแนวโน้มเป็นช่วงขาลง เนื่องจากผู้เล่นใหม่เริ่มน้อย และ (4) การพิมพ์สามมิติ (3D Printed Textile) คือกุญแจสู่การผลิตเสื้อผ้าเฉพาะบุคคล แฟชั่นไฮเอนด์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตตามสรีระผู้ใช้ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเติบโต แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว โดยมีจีนเป็นผู้ครองตลาด ตามมาด้วยญี่ปุ่น รวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 300 ฉบับต่อปี
สำหรับโอกาสและทิศทางของไทย กรมฯ มองว่า ไทยมีศักยภาพที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมสิ่งทอ (Textile Tech Hub) ของภูมิภาคอาเซียนได้ โดยมีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบการเกษตรที่หลากหลาย โรงงานการผลิตจากต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งเครือข่ายนักวิจัยในสถาบันการศึกษา สามารถสร้างนวัตกรรมจากการนำจุดแข็งด้านการเกษตรมาพัฒนาสิ่งทอยั่งยืนหรือเส้นใยชีวภาพจากสับปะรด ปอ กัญชง หรือแม้แต่เปลือกกล้วย รวมถึงการรีไซเคิลพลาสติกและเสื้อผ้าเก่า นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนานาโนเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เช่น หน้ากากกรองฝุ่น PM2.5 และผ้าต้านแบคทีเรีย ตลอดจนการนำ AI และหุ่นยนต์มาช่วยตรวจคุณภาพและผลิตงานเฉพาะทาง เช่น ชุดกีฬา และการแพทย์ รวมทั้งการพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งเป็นเทรนด์ตอบโจทย์ความยั่งยืนที่แบรนด์แฟชั่นระดับโลกให้ความสำคัญ โดยไทยต้องเร่งผลักดันและพัฒนางานวิจัยสู่การจดสิทธิบัตรและต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เพื่อเปิดทางให้นวัตกรรมสิ่งทอไทยเติบโตสู่สากล ที่ผ่านมา การส่งออกสิ่งทอของไทยในช่วงปี 2566 - 2568 (ม.ค. - ก.ย.) มีมูลค่ารวมกว่า 5.78 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่ม ผ้าผืนและเส้นด้าย และเส้นใยประดิษฐ์ โดยการยื่นขอรับสิทธิบัตรด้านนวัตกรรมสิ่งทอของไทยผ่านระบบ PCT (Patent Cooperation Treaty) ส่วนใหญ่เป็นการยื่นคำขอไปยังประเทศญี่ปุ่น มาเลเซีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
สถิติคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอในไทย ในช่วงปี 3 ปีหลัง (2566 - 2568) มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 349 คำขอ (ต่างชาติ 327 คำขอ และไทย 22 คำขอ) และคำขออนุสิทธิบัตร 185 คำขอ (ต่างชาติ 10 คำขอ และไทย 175 คำขอ) สำหรับสถิติการจดทะเบียน มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 312 ฉบับ (ต่างชาติ 296 ฉบับ และไทย 16 ฉบับ) และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 83 ฉบับ (ต่างชาติ 2 ฉบับ และไทย 81 ฉบับ) ผู้ที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก มาจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท ฮิตาชิ โกลบอล ไลฟ์ โซลูชั่นส, อิงค. บริษัท โทเรย์ อินดัสทรีส, อิงค. และบริษัท พานาโซนิค อินเทเลคชัวล์ พร็อพเพอร์ตี้ เมเนจเมนท์ โค., แอลทีดี. และผู้ที่ยื่นคำขออนุสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก เป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยไทย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยมีนวัตกรรมสิ่งทอที่น่าสนใจ อาทิ นวัตกรรมผ้าไม่ทอ (Nonwoven) ขั้นสูง เช่น เส้นใยคอมโพสิต ผ้าลามิเนต ผ้าเมลต์โบลนผ้าสปันบอนด์ เป็นการเพิ่มความหนา การทนความร้อน และความเหนียว นวัตกรรมสิ่งทอใช้วัสดุเส้นใยรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ เช่น เส้นใยไลโอเซล เส้นใยคอนจูเกตละลายด้วยความร้อน ด้ายกระดาษ และผ้ากระดาษ นวัตกรรมสิ่งทอที่ใช้เทคนิคและวัสดุที่มีประสิทธิภาพ เช่น ผ้าถุงลมนิรภัย ผ้าทนไฟ ผ้าที่ให้สัมผัสเย็น เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอผ่านกลไกต่างๆ อาทิ การให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญาแบบครบวงจร ผ่านศูนย์ IPAC (Intellectual Property Advisory Center) ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนานวัตกรรม การประเมินความใหม่ของสิ่งประดิษฐ์ การสืบค้นฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก การวางกลยุทธ์ด้านการยื่นคำขอให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจและการตลาดระหว่างประเทศ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญามีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ IPAC ชั้น 3 กรมทรัพย์สินทางปัญญา Facebook: IPAC หรือโทรสายด่วน 1368 นอกจากนี้ กรมยังอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอสิทธิบัตรระหว่างประเทศผ่านระบบ PCT (Patent Cooperation Treaty) เป็นการยื่นคำขอเพียงครั้งเดียว แต่ขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในประเทศสมาชิกได้กว่า 158 ประเทศทั่วโลก โดยสามารถยื่นผ่านระบบ ePCT ทางเว็บไซต์ https://pct.wipo.int/ePCT ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และยังได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขออีกด้วย
กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมประชุมอาเซียน ใช้เทคโนโลยียกระดับการบริการภาคธุรกิจชู 3 โครงการนำร่อง ปลดล็อคการใช้ประโยชน์จากข้อมูล IP
กรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้าโรดแมป "IP 4 All" หนุน ม.รังสิต ติดอาวุธ IP สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ ดันงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง และบริหารจัดการสิทธิ IP อย่างเป็นระบบ
กรมทรัพย์สินทางปัญญา แท็กทีม LES Thailand ร่วมยกระดับการขับเคลื่อนธุรกิจทรัพย์สินทางปัญญาไทยสู่ระดับโลก
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกำลัง SME D Bank มุ่งเสริมแกร่ง สร้างแต้มต่อให้ SMEs ไทย หนุนใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์เพื่อต่อยอดธุรกิจอย่างยั่งยืน
กรมทรัพย์สินทางปัญญา จับมือ depa ร่วมเดินหน้าใช้ทรัพย์สินทางปัญญาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัล
กรมทรัพย์สินทางปัญญาหารือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยรับฟังความเห็นการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ร่วมจับมือสร้างมูลค่าเพิ่มงานสร้างสรรค์และนวัตกรรม
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมผนึกกำลัง กรมศุลกากร และหน่วยงานพันธมิตรปราบ "ของเถื่อน" สินค้าแบรนด์ปลอมและของผิดกฎหมาย ตั้งแต่ต้นน้ำมูลค่าความเสียหายกว่า 55 ล้านบาท
ไทยร่วมการประชุมระดับหัวหน้าสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญา จีน - อาเซียน ครั้งที่ 16 ยกระดับความร่วมมือเพื่อสร้างแต้มต่อให้ภาคธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา