SABINA ชี้ถึงแม้ไตรมาส 4 จะเจอปัจจัยท้าทายเพียบ แต่ยังพร้อมเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลักที่วางไว้ ทั้งการรุกเปิดสาขาในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมปิดบางจุดขาย เน้นบริหารงบการตลาดแบบเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจงมากขึ้น มั่นใจสร้างการเติบโตในช่องทางค้าปลีกและ NSR ชี้การปรับโครงสร้างผลิต ด้วยสัดส่วนผลิตเอง 30% และจ้างผลิต 70% ส่งผลให้ต้นทุนสินค้านำเข้าได้รับปัจจัยบวกจากเงินบาทที่แข็งค่า ดันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ช่องทาง OEM ไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมรับออร์เดอร์ลูกค้ายุโรปต่อเนื่อง มั่นใจการลงทุนในฟิลิปปินส์ปีหน้าสู่เป้าหมายสร้างการเติบโต
นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "ซาบีน่า" เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจของ SABINA ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่า แม้จะมีปัจจัยท้าทายหลายประการ แต่ SABINA ยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์หลักที่ได้วางไว้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าเปิดช็อปในจุดที่มีกำลังซื้อสูง การเปิดตัวสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงการรับออเดอร์รับจ้างผลิตในช่องทาง OEM จากลูกค้าในสหราชอาณาจักรและยุโรป
"ต้องยอมรับว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มีปัจจัยท้าทายหลายเรื่องให้เราต้องรับมือ แต่ SABINA ก็ยังได้รับผลบวกจากการปรับโครงสร้างการผลิตของเราที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นคือ ส่วนที่ผลิตในโรงงานของเราเอง (Own Production) และส่วนที่เราจ้างโรงงานภายนอกผลิต (Sourcing) โดยในปีนี้สัดส่วนสินค้าที่เราผลิตเองอยู่ที่ 30% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 31% ขณะที่สัดส่วนสินค้าที่เราจ้างผลิตอยู่ที่ 70% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 69% ที่น่าสนใจคือ เรามีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนที่ผลิตเองซึ่งมาร์จินอยู่ที่ 46.9% เพิ่มขึ้นจาก 44.9% เมื่อปีที่แล้ว และส่วนที่จ้างผลิตมีมาร์จิน 54.2% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 53.8% สะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างการผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ" นางสาวดวงดาวกล่าว
ขณะเดียวกันการจัดโครงสร้างการผลิตในสัดส่วนผลิตเอง 30% และจ้างผลิต 70% ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากการจ้างผลิตเป็นการนำเข้าสินค้าที่ผลิตจากโรงงานในต่างประเทศ แม้จะเป็นการทำรายการซื้อขายด้วยสกุลเงินหยวน ที่อาจจะไม่ได้เห็นผลบวกอย่างชัดเจน แต่ก็ทำให้ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ส่วนที่อาจจะมีความกังวลกรณีที่บาทแข็งค่าจะกระทบกับรายได้ในช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งเป็นช่องทางส่งออกที่กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของ SABINA นั้น บริษัทฯ ได้ลดความเสี่ยงด้วยการตกลงราคาขายล่วงหน้า ทำให้ที่ผ่านมารายได้จาก OEM ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ยอดขายในช่องทาง OEM ยังเติบโตได้ดีจากออเดอร์ใหญ่ๆ ของลูกค้าในต่างประเทศ ที่มองหาโรงงานผลิตที่ดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG ที่ครอบคลุมสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล ซึ่งการได้รับรางวัลด้านความยั่งยืนของ SABINA จากหน่วยงานต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเป็นจุดแข็งและจุดเด่นที่สำคัญในการขยายฐานลูกค้า OEM ในต่างประเทศ
ส่วนการทำตลาดในประเทศผ่านช่องทางค้าปลีก (Retail) บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ ที่ในปีนี้มีแผนจะเปิดหน้าร้านใหม่ 15 แห่ง โดยเป็นการเปิดทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อหนาแน่น โดยเน้นการเปิดร้านสแตนด์อะโลน ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ทยอยปิดหน้าร้านที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่า กลยุทธ์ปักหมุดในจุดที่มีกำลังซื้อ จะทำให้ยอดขายในช่องทางค้าปลีกในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ดีขึ้นต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า
"ที่ผ่านมาเราเน้นการบริหารจัดการงบการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับช่องทางขายในประเทศ ทั้งช่องทางค้าปลีกและช่องทางขายแบบไม่มีหน้าร้าน (Non-Store Retailing หรือ NSR) เมื่อเราพบว่า พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย การติดตามผ่านสื่อ และความต้องการของลูกค้ามีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทำให้เราไม่สามารถทำการตลาดแบบแมสหรือหว่านเหมือนที่ผ่านมาได้ จะเห็นว่า SABINA ใช้สื่อหลากหลายในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งสะท้อนว่า เราเป็นแบรนด์ที่มีการปรับตัวให้เข้าเทรนด์และกระแสที่เปลี่ยนแปลงไป แม้เป็นแบรนด์ที่มีอายุมากกว่า 50ปีแล้วก็ตาม" นางสาวดวงดาวกล่าว
ทางด้านความคืบหน้าในการลงทุนในฟิลิปปินส์นั้น จากปี 2567 ซึ่งเป็นปีแห่งการวางรากฐาน ในปีนี้เป็นปีแห่งการขยาย จากจำนวนสาขา 47 แห่ง เพิ่มเป็น 60 แห่ง และเป็นปีที่ SABINA ได้ปรับโครงสร้างการทำงาน รวมถึงปรับรูปแบบของสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมามีปัจจัยควบคุมไม่ได้ เช่น ภัยธรรมชาติที่กินระยะเวลานานกว่าปกติ และกระทบกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนที่ต้องเน้นซ่อมสร้างที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในปี 2569 จะเป็นปีแห่งการเติบโตในฟิลิปปินส์ ที่ SABINA จะสามารถสร้างยอดขายผ่านช่องทางค้าปลีกจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น และผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น
อินโดรามา เวนเจอร์ส ร่วมกับสยามพิวรรธน์ และ VINN PATARARIN สร้างสรรค์ "Tree of Tomorrow" ต้นคริสต์มาสแห่งความยั่งยืน ณ NEXTOPIA สยามพารากอน
DMT มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG คว้า SET ESG Ratings ระดับ "AA" 2 ปีซ้อน
ธนาคารไทยเครดิต คว้า SET ESG Ratings ประจำปี 2568 ระดับ "A" ตอกย้ำถึงการเป็น "ธนาคารเพื่อความยั่งยืน"
ไอชิน เอเซีย เปิดตัวสมาร์ทแบตเตอรี่รถยนต์ 3 รุ่นใหม่
TGE คว้าเรตติ้ง ESG ระดับ A จาก SET ปี 2568 ตอกย้ำผู้นำธุรกิจพลังงานสะอาดที่เติบโตอย่างยั่งยืน
Krungsri One Payment คว้ารางวัลระดับโลกด้านนวัตกรรมการชำระเงินองค์กร
กลุ่มบริษัท "เสนา" ได้รับผลประเมินหุ้นยั่งยืน "SET ESG Ratings ระดับ A"
"โนเบิล" คว้าเรตติ้งสูงสุด AAA ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก SET ESG Ratings 2025