หุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ธีม AI และทองคำเดินหน้าต่อรับแรงหนุนดอกเบี้ยขาลง
SCB WEALTH จัดงานสัมมนา SCB Investment Forum For Wealth 2026 ในหัวข้อ Gold or Goldilocks ผนึกทีม Holistic และพันธมิตรระดับโลก BlackRock ร่วมถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจโลก และเทรนด์การลงทุนในปี 2569 ให้กับทีมที่ปรึกษาการเงินของธนาคาร นำทีมโดยคุณศรชัย สุเนต์ตา ( ที่ 6 ขวา) ,CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทีมผู้บริหาร SCB WEALTH และวิทยากร ประกอบด้วย ดร.ฐิติมา ชูเชิด (ที่ 2 ขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC นายวชิรวัฒน์ บานชื่น (ที่ 9 ขวา) นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB FM น.ส.เกษรี อายุตตะกะ (ที่ 1 ขวา) ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ (ที่ 10 ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO และ Mr. Mark Fuszard, Director, APAC Multi-Asset Strategies & Solutions at BlackRock (ที่ 7 ขวา) เมื่อเร็วๆนี้ ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่
โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความยืดหยุ่น แม้อัตราการเติบโตชะลอลง คาดขยายตัวได้ 2.5% ส่วนเศรษฐกิจเอเชียถูกกดดันจากผลกระทบภาษีทรัมป์ที่เริ่มชดเจน ด้านค่าเงินบาทคาดปี 2569 กลับมาอ่อนค่าปลายปีอาจแตะระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเงินทุนไหลกลับสินทรัพย์สหรัฐฯ หนุนดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ส่วนตลาดหุ้นทั่วโลกโตต่อเนื่องในปี 2569 ตลาดหุ้นอินเดีย มีโอกาสทำผลงานโดดเด่น หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนตลาดหุ้นไทย มีโอกาสปรับลดไม่มาก จากอัตราเงินปันผลยังน่าสนใจ ด้าน BlackRock มองความเสี่ยงภาษีนำเข้าลดลง Fed ลดดอกเบี้ย และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่ง หนุนมุมมองบวกต่อหุ้น แนะนำลงทุนหุ้นเติบโต และหุ้นขนาดใหญ่ รับกระแสการลงทุน AI และเทคโนโลยี พร้อมกระจายความเสี่ยงลงทุนทองคำและสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.7% โดยมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เคยประเมินไว้ จากการที่หลายประเทศเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ และใช้นโยบายการเงินการคลังดูแลเศรษฐกิจเพื่อรับมือมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สำหรับปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงมีความยืดหยุ่นอยู่แต่ในระดับที่ลดลง โดยอัตราการขยายตัวน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5% ชะลอลงเล็กน้อยจากปีนี้ เนื่องจากหลายประเทศได้เร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งส่งออกไปแล้ว และจะเริ่มเห็นผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า หากพิจารณาในระดับประเทศ SCB EIC คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 1.8% ยุโรป 1.3% ญี่ปุ่น 0.9% จีน 4.3% และ อินเดีย 6.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5% ท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ความเปราะบางภายในประเทศ และข้อจำกัดพื้นที่การคลังลดลง
ในด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มทยอยลดอัตราดอกเบี้ยลงไปสู่ระดับใกล้ 3% อย่างไรก็ตาม ตลาดต้องจับตาจุดยืนของ Fed ภายใต้ประธานคนใหม่ ซึ่งอาจทำให้คะแนนเสียงสนับสนุนการลดดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ลดดอกเบี้ยลงมาถึงระดับต่ำสุดของรอบนี้แล้ว ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีแนวโน้มดำเนินนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ย สวนทางกับธนาคารกลางหลักอื่นในโลก
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2568 คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.70 - 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเพียงเล็กน้อย จากปัจจัยด้านฤดูกาล โดยสถิติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มักอ่อนค่าลงประมาณ 1% ในเดือนธันวาคมเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มอ่อนค่าเฉลี่ยราว 0.8% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน
สำหรับปี 2569 ในไตรมาสแรกเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย ก่อนจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนในไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป เมื่อ Fed สิ้นสุดการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เงินทุนต่างชาติอาจเริ่มไหลกลับเข้าสินทรัพย์สหรัฐฯ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจกลับมาแข็งค่า กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าลงได้ โดยคาดว่าปลายปี 2569 เงินบาทจะเคลื่อนไหวในช่วงประมาณ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
น.ส.เกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2568 มี 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลอย่างมีนัยต่อผลตอบแทนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้แก่ 1) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักทั่วโลก 2) การปรับขึ้นของหุ้นกลุ่ม AI ซึ่งยังมีกำไร (Earnings) รองรับและมีแนวโน้มเติบโตต่อ แต่ต้องจับตาความเสี่ยงด้านงบดุลของบางบริษัทที่ก่อหนี้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และ 3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล - อิหร่าน และญี่ปุ่น - จีน
สินทรัพย์ทองคำให้ผลตอบแทนอันดับ 1 ในปี 2568 โดยราคาปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% จากสิ้นปี 2567 และนับเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ปัจจัยหนุนหลักมาจาก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้มีแรงซื้อทองคำผ่านกองทุนรวมดัชนี (Gold ETF) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังเพิ่มการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับตลาดหุ้น ที่เกี่ยวข้องกับธีม AI ได้รับประโยชน์จากการที่บริษัททั่วโลกเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มชิปในเกาหลีใต้ที่ปรับตัวขึ้นแรงกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับขึ้นถึง 63% ตามมาด้วยตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้น 34% และตลาดหุ้นจีนปรับขึ้น 34% ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 30%
ส่วนกลุ่มสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ไม่ดี ได้แก่ น้ำมันที่ปรับตัวลดลง 17% จากความกังวลสถานการณ์สงครามที่เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย และหุ้นไทยที่ปรับลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม SCB CIO มองว่า ความผันผวนในตลาดการเงินยังไม่จบง่ายๆ การลงทุนในช่วงนี้จึงต้องเน้นการคัดเลือก (Selective) มากขึ้น และควรกระจายพอร์ตให้หลากหลาย ไม่ควรลงทุนกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์หรือตลาดใดตลาดหนึ่ง โดยนักลงทุนควรเน้นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) บนพอร์ตหลัก ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว และหาโอกาสส่วนเพิ่มบนพอร์ตเสริม ระยะสั้น ขณะที่ การจัดพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีเพียงหุ้นและตราสารหนี้อาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนนอกตลาด (Private Market) เข้ามาเป็นอีกทางเลือกในการสร้างความยั่งยืนให้พอร์ต
น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2569 จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาลง โดยคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธันวาคม 2568 และมีโอกาสลดได้อีก 2 ครั้งในปี 2569 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปลายรอบ (Terminal Rate) อยู่ในช่วงประมาณ 3.00 - 3.25% การหยุดดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (Quantitative Tightening: QT) ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ช่วยให้เพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินโลก ขณะเดียวกัน แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกในปี 2569 ยังมีทิศทางเติบโตระดับ 12-13% เทรนด์ AI ที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นในปี 2568 ก็มีแนวโน้มจะส่งแรงหนุนต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่การพักรบชั่วคราว 1 ปีระหว่างสหรัฐฯกับจีน ช่วยลดแรงกดดันต่อจิตวิทยาการลงทุน และสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้น
สำหรับตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets: DM) SCB CIO ให้น้ำหนักเชิงบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากกระแสลงทุนใน AI และกำไรบริษัทขนาดใหญ่ที่ยังเติบโตดี และตลาดหุ้นญี่ปุ่น จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และแผนพัฒนาตลาดทุนที่ต่อเนื่องของภาครัฐ ส่วนตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) ชู ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ จากมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ยังถูก โดย P/E เพียงราว 10 เท่า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตราว 20-30% ประกอบกับนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ที่สนับสนุนตลาดทุนอย่างจริงจัง และ ตลาดหุ้นอินเดีย ที่คาดการปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงปลายปี 2568 และมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 2569
ตลาดหุ้นไทย ประเมินว่ามีโอกาสปรับลดลงไม่มากจากระดับดัชนีประมาณ 1,270 จุด โดยแรงพยุงสำคัญคืออัตราเงินปันผลในระดับน่าสนใจที่ราว 4.2% ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงขาลงของตลาด แต่ด้านอัพไซด์ยังคงจำกัด เนื่องจากกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2569 คาดว่าจะเติบโตเพียง 5-7% ซึ่งต่ำเมื่อเทียบกับตลาดโลก ส่วนทองคำ SCB CIO มองว่ายังเป็นสินทรัพย์สำคัญในการปกป้องพอร์ตและสร้างผลตอบแทน โดยราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ 4,500-5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ จากแนวโน้มการลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการสะสมทองคำในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก
Mr. Mark Fuszard, Director, APAC Multi-Asset Strategies & Solutions at BlackRock กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดลง แต่ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงจากการเปลี่ยนผ่านด้านนโยบาย อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินโลกยังคงมีความแข็งแกร่ง นักลงทุนที่พยายามจับจังหวะตลาดมากเกินไป อาจพลาดโอกาสสำคัญได้ สำหรับปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจและตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะไม่ร้อนแรงเกินไป แต่ยืนได้อย่างมั่นคง โดยสหรัฐฯ มีแผนดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณขนาดใหญ่ภายใต้โครงการ One big beautiful bill ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1-2 ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงมาอยู่ในระดับราว 3% แต่จะเริ่มมีความท้าทายมากขึ้นที่จะลดลงต่ำกว่าระดับนี้
ในกรณีฐาน (Base Case) ที่ Fed ลดดอกเบี้ย และเศรษฐกิจไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนในทั้งสินทรัพย์เสี่ยงและตราสารหนี้จะได้รับประโยชน์ จากข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2533 ถึง 30 กันยายน 2568 พบว่าเมื่อ Fed อยู่ในวัฏจักรลดดอกเบี้ย และเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอยภายใน 12 เดือนถัดมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 17% ขณะที่ ตราสารหนี้สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 7.2%
เมื่อพิจารณาสินทรัพย์ที่โดดเด่น ในปี 2568 ตลาดหุ้น EM ให้ผลตอบแทนแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (DM) โดยปรับขึ้นประมาณ 30% และยังมีโอกาสลงทุนต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ทองคำให้ผลตอบแทนมากกว่า 50% ทำให้นักลงทุนที่มีทองคำในพอร์ตสามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2569 แนะนำว่า นักลงทุนควร Stay Invested ไม่ควรถือ เงินสดมากเกินไป ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เพราะอาจเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทน การลงทุนใน หุ้นเติบโต (Growth Stocks) และ หุ้นขนาดใหญ่ (Large Caps) ยังน่าสนใจ โดยเฉพาะในธีม AI และการลงทุนด้านเทคโนโลยี และพอร์ตลงทุนไม่ควรมีเพียงหุ้นและตราสารหนี้ แต่ควรเพิ่ม ทองคำ และ สินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างสมเหตุสมผล
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ต ไม่ควรใส่น้ำหนักมากเกินไป เนื่องจากผลตอบแทนที่ผันผวนในอดีต ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2564 ทองคำเคยปรับลดลงประมาณ 10% จึงจำเป็นต้องจัดสรรสัดส่วนอย่างระมัดระวังควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่น
จัดทำโดย SCB CIO ข้อมูล ณ วันที่ 3 ธ.ค. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน
เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777
แสนสิริ - ไทยพาณิชย์ ผนึกความร่วมมือทางการเงิน สนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ ร่วมขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ปี 2569
แสนสิริ อลังเซลส่งท้ายปี! โอกาสสำคัญต้อนรับความสำเร็จครั้งใหม่ จากสองผู้นำ "แสนสิริ-SCB" มอบของขวัญพิเศษ ภายใน 30 ธ.ค. นี้
ไทยพาณิชย์ จับมือ กรมลดโลกร้อน หนุนโครงการ G-Green นำร่องด้วย Green Hotel Plus ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว สร้างความยั่งยืนให้สังคมไทย
กลุ่มเอสซีบีเอกซ์จัดพิธีตักบาตรถวายพระราชกุศลปัญญาสมวาร แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
FWD ประกันชีวิต - ไทยพาณิชย์ ตอกย้ำการเข้าถึง เข้าใจ ลูกค้าทุกเจน นำ "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย*" รับ 3 รางวัลจากเวที Adman Awards & Symposium 2025
ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมถอดกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรยุคใหม่ สู่การเติบโตที่ยั่งยืน ชู 3 แกนสำคัญ Productivity - Resilience - Sustainability
ไทยพาณิชย์ - FWD ประกันชีวิต ตอกย้ำการเข้าถึง เข้าใจ ลูกค้าทุกเจน นำ "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย*" รับ 3 รางวัลจากเวที Adman Awards & Symposium 2025