9 สิ่งที่ต้องมีในสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ก่อนโอนกรรมสิทธิ์

บทความ »
สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

การซื้อขายบ้านหรือที่ดินถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรอบคอบ โดยเฉพาะเอกสารสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งหลายคนอาจกังวลว่าสัญญาจะรัดกุมพอหรือไม่ และมีจุดไหนที่ต้องตรวจสอบเป็นพิเศษ วันนี้เราจึงได้หยิบยกข้อมูลดี ๆ จาก G H Bank หรือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์มาสรุปประเด็นสำคัญให้ทุกคนอ่านกัน เพื่อให้เราเตรียมตัวก่อนเซ็นสัญญาและดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างราบรื่น

9 สิ่งที่ต้องมีในสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

เอกสารสัญญาก่อนการโอนกรรมสิทธิ์จำเป็นต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต การตรวจสอบองค์ประกอบสำคัญในสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ โดย 9 ข้อหลักที่ G H Bank แนะนำให้ตรวจสอบอย่างละเอียด มีดังต่อไปนี้

1. คู่สัญญา

สิ่งแรกคือรายละเอียดของคู่สัญญา ทั้งผู้จะซื้อและผู้จะขายต้องระบุชื่อ-นามสกุลชัดเจน โดยฝั่งผู้ขายต้องมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด หากมีหลายคนต้องระบุครบทุกคน ส่วนท้ายของสัญญาต้องมีลายเซ็นของทั้งสองฝ่าย พร้อมพยาน เพื่อยืนยันการรับทราบข้อตกลงทั้งหมด

2. รายละเอียดทรัพย์สิน

สัญญาต้องระบุรายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่ตกลงซื้อขายให้ชัดเจน เช่น ที่ดิน หรืออาคาร ต้องระบุขนาดพื้นที่ (ตารางวาหรือตารางเมตร) ลักษณะของสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ตกลงซื้อขายด้วย เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ มิเตอร์น้ำ-ไฟ โดยอาจจัดทำเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา

3. ราคา และวิธีชำระเงิน

ต้องระบุตัวเลขราคาที่ตกลงกันอย่างชัดเจน อาจเป็นราคารวมเหมา หรือราคาต่อหน่วย เช่น ตารางวาสำหรับที่ดิน หรือตารางเมตรสำหรับห้องชุด นอกจากนี้ ส่วนสำคัญคือวิธีการชำระเงินที่ตกลงกัน เช่น การวางเงินมัดจำ การชำระเป็นงวด หรือการชำระทั้งก้อน

4. กำหนดเวลาโอนกรรมสิทธิ์ 

กำหนดเวลาโอนกรรมสิทธิ์

สัญญาต้องกำหนดกรอบเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจน อาจระบุเป็นวันที่แน่นอน หรือกำหนดเป็นเงื่อนไขก็ได้ ตัวอย่างเช่น การโอนกรรมสิทธิ์จะเกิดขึ้นเมื่อผู้กู้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร หรือเมื่อการก่อสร้างทรัพย์สินนั้นเสร็จสมบูรณ์พร้อมโอน

5. ค่าใช้จ่ายวันโอน

ควรกำหนดผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ในวันโอนกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจน ทั้งค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรแสตมป์ ภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีเงินได้ แม้โดยทั่วไปจะมีแนวปฏิบัติอยู่แล้ว แต่คู่สัญญาสามารถตกลงแบ่งความรับผิดชอบกันได้ และต้องระบุไว้ในสัญญาให้เรียบร้อย

6. รายละเอียดการจดทะเบียน

ส่วนนี้ขยายความจากข้อ 5 เพื่อระบุรายละเอียดภาระหน้าที่และค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าฝ่ายใดต้องรับผิดชอบส่วนใดบ้าง เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งที่อาจเกิดขึ้นในวันโอนกรรมสิทธิ์ และทำให้กระบวนการจดทะเบียนเป็นไปอย่างราบรื่น

7. เงื่อนไขการผิดสัญญา

ควรมีการระบุเงื่อนไขและผลที่จะเกิดขึ้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา เช่น การริบเงินมัดจำ หรือการชดใช้ค่าเสียหาย แม้จะมีกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คุ้มครองอยู่แล้ว การระบุข้อตกลงบทลงโทษไว้ในสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จะช่วยเพิ่มความชัดเจนและน้ำหนักในการบังคับใช้

8. เงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ

หากมีข้อตกลงอื่นใดที่นอกเหนือจากมาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย เช่น ความล่าช้าในการส่งมอบ หรือการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด ควรระบุไว้เป็นเงื่อนไขพิเศษ รวมถึงกำหนดผู้รับผิดชอบและค่าชดเชย (ถ้ามี) หรือหากมีเงื่อนไขใหม่ก็สามารถตกลงและปรับปรุงสัญญาได้

9. การลงนามและพยาน

องค์ประกอบสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือการลงนามของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย และต้องมีพยานลงชื่อรับทราบอย่างน้อยฝ่ายละ 1 คน โดยทั่วไปสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จะจัดทำขึ้น 2 ฉบับที่มีข้อความถูกต้องตรงกัน เพื่อให้คู่สัญญาเก็บไว้เป็นหลักฐานฝ่ายละหนึ่งฉบับ

สรุป

สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

การตรวจสอบ 9 ข้อนี้ในสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ให้ครบถ้วน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ G H Bank แนะนำ เพื่อสร้างความมั่นใจและความรัดกุมก่อนตกลงซื้อขาย การมีสัญญาที่ชัดเจนจะช่วยลดความเสี่ยงและข้อพิพาทในอนาคต สำหรับผู้ที่กำลังมองหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก G H Bank (ธอส.) ก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยให้การเตรียมเอกสารและการเงินเป็นไปอย่างราบรื่น

สนใจขอสินเชื่อบ้าน ธอส. ได้ผ่านช่องทางบริการดังนี้

• ให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารติดต่อกลับเพื่อแนะนำสินเชื่อบ้าน : https://bit.ly/4mpAVfB

• แชทสอบถามปรึกษาสินเชื่อบ้าน : m.me/GHBank

• ยื่นขอสินเชื่อบ้านด้วยตนเองผ่าน GHB ALL GEN : https://bit.ly/42bftBa

สามารถดูรายละเอียดและศึกษาสินเชื่อบ้าน ธอส. เพิ่มเติมได้ที่ https://www.ghbank.co.th/product/loan