ข้อดีของการตรวจฮอร์โมน ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

บทความ »

เคยสงสัยไหมว่าทำไม… ออกกำลังกายสม่ำเสมอ คุมอาหารก็แล้ว แต่น้ำหนักกลับไม่ลง? ทำไมสิวถึงขึ้นเรื้อรังไม่หายขาด ทั้งที่ดูแลความสะอาดอย่างดี? หรือทำไมถึงรู้สึกอ่อนเพลีย หมดไฟง่าย ทั้งที่ก็นอนเยอะแล้ว

ปัญหาเรื้อรังเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่นิสัยหรือความเครียด แต่เป็นสัญญาณจาก “ความไม่สมดุลของฮอร์โมน” ภายในร่างกาย การตรวจฮอร์โมน จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือทำเฉพาะคนที่มีโรคร้ายแรง แต่เป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพเชิงรุก (Proactive Health) วันนี้เราจะมาดู 5 ข้อดีที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณเกี่ยวกับการตรวจฮอร์โมนไปเลย

ตรวจฮอร์โมนคืออะไร

พูดง่ายๆ ฮอร์โมน (Hormone) คือ “สารสื่อสารเคมี” ที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อควบคุมการทำงานแทบทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเผาผลาญ (อ้วน-ผอม), อารมณ์ (เครียด-ผ่อนคลาย), การนอนหลับ, ไปจนถึงสุขภาพผิวพรรณ

ดังนั้น การตรวจฮอร์โมน (Hormone Test) จึงมักเป็นการเจาะเลือดเพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องแล็บ ทำให้เราเห็น “ระดับ” ความสมดุลของฮอร์โมนแต่ละตัว ช่วยให้แพทย์สามารถค้นหาความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่มันจะแสดงอาการรุนแรง หรือกลายเป็นโรคเรื้อรังในอนาคต

สัญญาณเตือน! ใครบ้างที่ควรเริ่มตรวจฮอร์โมน?

หากคุณกำลังเจอกับปัญหาเหล่านี้ การตรวจฮอร์โมนอาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา:

  • น้ำหนักตัวผิดปกติ อ้วนง่าย หรือผอมเกินไป แม้จะพยายามควบคุมแล้ว แต่ระบบเผาผลาญอาจมีปัญหาจากฮอร์โมนไทรอยด์ หรือฮอร์โมนความเครียด
  • ปัญหาผิวพรรณเรื้อรัง โดยเฉพาะ “สิวฮอร์โมน” บริเวณคาง กรอบหน้า หรือปัญหาฝ้า กระ ที่รักษาด้วยการทายาแล้วไม่ดีขึ้น
  • อารมณ์แปรปรวนและคุณภาพการนอนแย่ กลุ่มที่เครียดสะสม, รู้สึกวิตกกังวล, นอนไม่หลับ, หรือผู้ที่กำลังเข้าสู่ภาวะวัยทอง
  • ปัญหาด้านสมรรถภาพและประจำเดือน ในผู้หญิงที่มีปัญหารอบเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องรุนแรง หรือในผู้ชายที่รู้สึกหมดไฟ (Burnout) ความต้องการทางเพศลดลง

5 ข้อดีของการตรวจฮอร์โมน ที่หลายคนไม่เคยรู้

การรู้ระดับฮอร์โมนล่วงหน้ามีประโยชน์มากกว่าการแค่รู้ว่าป่วย ในส่วนนี้ทาง S’RENE by SLC คลินิกสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับคนเมือง (Holistic Wellness Clinic) ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า การตรวจฮอร์โมนเปรียบเสมือนการอ่าน “คู่มือร่างกาย” ฉบับสมบูรณ์ของเราเอง ซึ่งมีข้อดีหลักๆ ที่หลายคนมองข้าม ดังนี้

1. ช่วยวางแผนลดน้ำหนักได้ตรงจุด (Unlock Weight Loss)

นี่คือข้อที่คนส่วนใหญ่พลาด หลายคนทุ่มเทกับการคุมอาหาร (IF, Keto) และออกกำลังกายหนัก แต่กลับไม่เห็นผล หรือน้ำหนักค้าง (Weight Loss Plateau) นั่นเพราะคุณอาจกำลังสู้ผิดจุด

การตรวจฮอร์โมนจะช่วยชี้ชัดว่าปัญหาของคุณคืออะไร เช่น

  • ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้ากว่าปกติ
  • ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูง ฮอร์โมนความเครียดตัวนี้สั่งให้ร่างกาย “เก็บสะสม” ไขมัน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
  • ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) ร่างกายเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลเป็นไขมันได้ง่ายขึ้น

เมื่อเรารู้ต้นตอ แพทย์ก็จะสามารถวางแผนการรักษาได้ตรงจุด เช่น การปรับโภชนาการที่เหมาะกับคุณ หรือการใช้ฮอร์โมนทดแทนที่จำเป็น ช่วยให้การลดน้ำหนักของคุณเห็นผล โดยไม่ต้องอดอาหารฟรีๆ อีกต่อไป

2. ค้นพบต้นตอที่แท้จริงของปัญหาสิวและผิวพรรณ

ปัญหาสิวเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ หรือฝ้าที่เข้มขึ้นผิดปกติ การรักษาด้วยการทายาหรือทำเลเซอร์อาจเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” 

หากต้นตอมาจาก “สิวฮอร์โมน” ที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศ (เช่น Androgen, Estrogen) ต่อให้คุณล้างหน้าสะอาดแค่ไหน สิวก็จะยังคงกลับมาขึ้นที่เดิมๆ การตรวจฮอร์โมนจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ว่าผิวของคุณกำลังสะท้อนความผิดปกติจากภายในหรือไม่ ทำให้สามารถรักษาสิวที่ต้นเหตุ ด้วยการปรับสมดุลฮอร์โมนจากภายใน ควบคู่ไปกับการดูแลผิวภายนอก เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนกว่า

3. ชะลอวัยจากภายในสู่ภายนอก (Anti-Aging Secret)

กุญแจสำคัญของ “เวชศาสตร์ชะลอวัย” (Anti-Aging Medicine) คือการทำให้เซลล์เสื่อมช้าที่สุด ซึ่งฮอร์โมนคือผู้ควบคุมกระบวนการนี้โดยตรง

เมื่อเราอายุมากขึ้น ฮอร์โมนที่ช่วยในการซ่อมแซมร่างกายและคงความอ่อนเยาว์จะลดลงตามธรรมชาติ เช่น

  • Growth Hormone (GH) ฮอร์โมนแห่งการเติบโตและซ่อมแซมเซลล์
  • DHEA ฮอร์โมนต้านความเครียดและชะลอความเสื่อม

การรู้ระดับฮอร์โมนเหล่านี้ จะช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยสามารถวางแผน “ฟื้นฟู” ร่างกายจากภายในได้ เช่น การให้วิตามินบำบัด หรือการใช้ฮอร์โมนทดแทนในระดับที่เหมาะสม เพื่อช่วยคงความสดใสของผิวพรรณ ลดริ้วรอย และทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ดูอ่อนเยาว์กว่าวัยได้จริง

4. เรียกคืนพลังงานและการนอนหลับที่มีคุณภาพ

คุณเป็นคนหนึ่งที่ตื่นเช้ามาแล้วไม่สดชื่น หรือรู้สึกเพลียล้าตลอดทั้งวันหรือเปล่า? อาการเหล่านี้เรียกว่า ภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) ซึ่งมักสัมพันธ์กับ “ภาวะต่อมหมวกไตล้า” (Adrenal Fatigue)

ต่อมหมวกไตมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลเพื่อรับมือกับความเครียด แต่เมื่อเราเครียดสะสมเป็นเวลานาน ต่อมหมวกไตจะเริ่มล้าและผลิตฮอร์โมนได้ไม่สมดุล ส่งผลให้เราหมดพลังงาน นอนไม่หลับ หรือหลับไม่ลึก การตรวจระดับฮอร์โมนกลุ่มนี้ (เช่น Cortisol, DHEA) จะช่วยยืนยันภาวะนี้ และนำไปสู่การฟื้นฟูที่ตรงจุด เพื่อเรียกคืนพลังงานและการนอนหลับที่มีคุณภาพกลับมา

5. ลดความเสี่ยงโรคร้ายแรงแฝงในอนาคต

นี่คือข้อดีที่สุดของการตรวจเชิงรุก ฮอร์โมนหลายตัวเป็น “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” (Early Indicator) ของโรคร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น

ตัวอย่างเช่น หากผลตรวจพบว่าคุณเริ่มมี “ภาวะดื้ออินซูลิน” นั่นหมายความว่าคุณมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็น “โรคเบาหวานประเภทที่ 2” ในอนาคต หรือหากค่าฮอร์โมนไทรอยด์เริ่มแกว่ง แม้จะยังไม่แสดงอาการชัดเจน ก็อาจนำไปสู่ “โรคไทรอยด์เป็นพิษ” หรือ “โรคหัวใจ” ได้

การรู้ค่าเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เปิดโอกาสให้เราสามารถ “ป้องกัน” ก่อนที่จะ “ป่วย” ได้ โดยแพทย์จะให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ โภชนาการ หรือการรักษาที่จำเป็น เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตรวจฮอร์โมนที่ไหนดี และต้องเตรียมตัวอย่างไร

การตรวจฮอร์โมนไม่ใช่แค่การดูว่าค่า “ปกติ” หรือ “ผิดปกติ” ตามเกณฑ์ทั่วไป แต่คือการวิเคราะห์ว่าค่านั้น “เหมาะสม (Optimal)” กับร่างกายของเราหรือไม่

ดังนั้น จึงแนะนำให้เลือกตรวจกับ คลินิกเฉพาะทางด้าน Wellness หรือเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Clinic) หรือโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อโดยตรง เพราะทีมแพทย์เหล่านี้จะมีความเชี่ยวชาญในการ “อ่านผล” และออกแบบการรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ได้ลึกซึ้งกว่าการตรวจสุขภาพทั่วไป

การเตรียมตัวเบื้องต้น

  • ส่วนใหญ่จะต้อง งดน้ำและอาหาร (NPO) อย่างน้อย 8-12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด
  • สำหรับผู้หญิง การตรวจฮอร์โมนเพศบางตัวอาจต้องนัดหมายช่วงเวลาที่เหมาะสมตามรอบเดือน (เช่น วันที่ 2 หรือ 3 ของรอบเดือน)
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันตรวจ และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาหรืออาหารเสริมที่ทานเป็นประจำ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจฮอร์โมน

การตรวจฮอร์โมน ต่างจากการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไปอย่างไร

การตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไปจะเน้นดูค่าเลือดพื้นฐาน เช่น ไขมัน น้ำตาล การทำงานของตับไต แต่การตรวจฮอร์โมนจะวิเคราะห์ลึกลงไปถึงระดับ “สารสื่อสารเฉพาะทาง” (ฮอร์โมนต่างๆ) ที่เป็นตัวควบคุมระบบเหล่านั้นอีกที เปรียบเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไปคือการดูว่า “เครื่องยนต์มีปัญหาหรือไม่” แต่การตรวจฮอร์โมนคือการเช็ก “ระบบสั่งการและไฟฟ้า” ของเครื่องยนต์

ตรวจฮอร์โมน เจ็บไหม และใช้วิธีใด

โดยส่วนใหญ่ การตรวจฮอร์โมนจะใช้วิธีการ “เจาะเลือด” เป็นหลัก ซึ่งจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเหมือนการเจาะเลือดตรวจสุขภาพทั่วไป ในบางกรณี แพทย์อาจมีการตรวจปัสสาวะหรือน้ำลาย (Saliva Test) ร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับโปรแกรมและชนิดของฮอร์โมนที่ต้องการวิเคราะห์

ต้องตรวจฮอร์โมนบ่อยแค่ไหน

ขึ้นอยู่กับผลตรวจครั้งแรกและคำแนะนำของแพทย์ หากผลตรวจปกติและคุณไม่มีอาการใดๆ อาจตรวจซ้ำทุก 1-2 ปี แต่หากพบความไม่สมดุลและกำลังอยู่ในกระบวนการรักษา แพทย์อาจต้องนัดติดตามผลเพื่อปรับยาหรือการรักษา ทุก 3, 6 หรือ 12 เดือน ตามความเหมาะสม

สรุปบทความ

สรุปแล้ว การตรวจฮอร์โมนเหมาะสำหรับทุกคนที่รู้สึกว่าร่างกายทำงานไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องน้ำหนัก ผิวพรรณ อารมณ์ หรือความอ่อนเพลียที่หาสาเหตุไม่เจอ รวมถึงผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและชะลอวัยอย่างจริงจัง การรู้ค่าฮอร์โมนของตัวเองคือการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะช่วยให้เราเข้าใจและแก้ไขปัญหาได้จาก “ต้นตอ” ที่แท้จริง

สำหรับใครที่มีความกังวลตามอาการที่กล่าวมา หรืออยากลองปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนดูแลสุขภาพเชิงลึก แนะนำให้ปรึกษากับ S’RENE by SLC  ที่นี่เขามีโปรแกรม แพ็กเกจตรวจฮอร์โมน Hormone Check-Up (Male/Female) ที่ออกแบบมาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกันโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์และวางแผนการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เหมาะกับคุณโดยเฉพาะ

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  • สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
  • สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร  099 807 7261
  • สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร  081 249 7055
  • สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
  • สาขา สยาม  – โทร 064 139 6390 และ 081 249 6392