บริษัท เคแอนด์ยู เอ็นเตอร์ไพร้ซ จำกัด (K&U Enterprise Company Limited) ก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซนโปรดักส์ จำกัด และ บริษัท เคียวคุโย จำกัด โดยอาศัยความแข็งแกร่งของพื้นฐานทางธุรกิจของทั้งสองบริษัทในการร่วมกันผลิตอาหารญี่ปุ่นในรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคอาหารญี่ปุ่นที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคต่างๆ
ด้วยพื้นฐานการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทอย่างต่อเนื่องมากกว่า 23 ปี จึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจดังกล่าว โดยอาศัยความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซนโปรดักส์ จำกัด ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในธุรกิจการแปรรูปอาหารทะเลแช่แข็งที่เรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่ครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นฐานวัตถุดิบ และร่วมพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิตโดยบริษัท เคียวคุโย จำกัด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจด้านอาหารทะเล ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพสูง และเป็นไปตามมาตรฐานรสชาติอาหารญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
ทุนจดทะเบียนบริษัท: 120 ล้านบาท
สัดส่วนการถือหุ้น:
* บริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซนโปรดักส์ จำกัด 50%
* บริษัท เคียวคุโย จำกัด 50%
กรรมการบริหาร:
* Mr.Makoto Arato
* Mr.Koji Inoue
* Mr.Akinobu Ono
* Mr.Tsuyoshi Kurotaki
* นางนิตยา ธาวนพงษ์
* นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย
* นายอภิชาติ ต่ายทอง
* นายจิรัง จิรังคานนท์
สถานที่ตั้ง: 1259 ถนนวิเชียรโชฎก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
พื้นที่การผลิต: 11,400 ตารางเมตร
งบลงทุนสร้างโรงงาน: 400 ล้านบาท โดยจะเริ่มการก่อสร้างโรงงานใน
เดือนกันยายน 2548 คาดว่าจะแล้วเสร็จ และ
เริ่มการผลิตได้ประมาณกลางปี 2549
กำลังการผลิต: 50 ล้านชิ้นต่อเดือน
ประเภทอาหารที่ผลิต: ซูชิแช่แข็ง และซูชิประเภทต่างๆ ปลาหมึกกระดอง
ปลาหมึกสายสไลซ์ ซาบะสไลซ์ แซลมอนสโม๊ค และ
แซลมอนสไลซ์ เป็นต้น
ตลาดเป้าหมายที่สำคัญ: ตลาดเป้าหมายที่สำคัญในปีแรก ได้แก่
- ประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนตลาดประมาณ 70%
- อเมริกา แคนาดา และทวีปยุโรป คิดเป็นสัดส่วนตลาด
ประมาณ 20%
- สำหรับในประเทศไทย จะจัดจำหน่ายผ่านช่องทางการ
ขายของ "พรานทะเล" ที่มีลักษณะเป็นคีออส (Kiosk)
จำนวน 70 แห่งในโมเดิร์นเทรด คิดเป็นสัดส่วน
ตลาดประมาณ 10%
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า นอกจากตลาดหลักคือประเทศญี่ปุ่นแล้ว ภายใน 3 ปี จะสามารถขยายตลาดในกลุ่มประเทศอเมริกา แคนาดา ทวีปยุโรป และประเทศไทย ให้มีสัดส่วนตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 35%--จบ--