กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--สพช.
"ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เวิร์ค ประเทศชาติประหยัดแล้วกว่า 7,192 ล้านบาท คาดทะลุเป้าแน่ 9,000 ล้านบาท สพช.ชักชวนให้เข้าร่วมประหยัดเป็นโอกาสสุดท้ายอีก 1 เดือนเท่านั้น
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เปิดเผยว่า "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ที่ สพช. ดำเนินโครงการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 เพื่อกระตุ้นให้เจ้าของบ้านอยู่อาศัยลดการใช้ไฟฟ้า โดยการสร้างแรงจูงใจด้วยการให้ส่วนลดการใช้ไฟฟ้า ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2545 มีประชาชนให้ความร่วมมือกันประหยัดการใช้ไฟฟ้า ได้รับส่วนลดจากโครงการทั่วประเทศกว่า 7.2 ล้านครัวเรือนจากจำนวนทั้งสิ้น 13 ล้านครัวเรือน สามารถลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศได้กว่า 2,397 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่สามารถประหยัดได้มูลค่าประมาณ 7,192 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการจะสามารถประหยัดเงินได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ 9,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้มอบส่วนลดค่าไฟฟ้าคืนให้กับครัวเรือนที่ร่วมใจประหยัดไปแล้วจำนวน 1,369 ล้านบาท
จากการสำรวจตัวเลขการประหยัดไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2545 ของผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตกรุงเทพและปริมณฑล 14 เขต พบว่าประชาชนในเขตบางกะปิครองแชมป์เขตที่ได้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจากโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อมากที่สุด โดยได้รับเงินส่วนลดรวม 31,063,210 บาท รองลงมาคือเขตนนทบุรี ได้รับเงินส่วนลดค่าไฟฟ้ารวม 25,933,272 บาท และอันดับ 3 คือ เขตมีนบุรี ได้รับเงินส่วนลดค่าไฟฟ้ารวม 21,405,283 บาท
โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ เป็นการสร้างแรงจูงใจในการประหยัดการใช้ไฟฟ้าด้วยการให้ส่วนลดการใช้ไฟฟ้า โดยหากครัวเรือนใดสามารถประหยัดหน่วยไฟฟ้าลงได้ตั้งแต่ 10% ของจำนวนไฟฟ้าที่ใช้เฉลี่ยของเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคมของบ้านนั้น ๆ ในปี 2544 จะได้รับรางวัลเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าอีก 20% ของหน่วยไฟฟ้าที่ประหยัดได้ในเดือนนั้น ซึ่งใบเสร็จค่าไฟฟ้าจะระบุส่วนลดให้อัตโนมัติ โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545
"โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ เหลือระยะเวลาการดำเนินการอีกเพียง 1 เดือน โดยจะสิ้นสุดโครงการในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ จึงขอเชิญชวนผู้ที่ยังไม่ได้รับส่วนลดจากโครงการและผู้ที่ได้รับส่วนลดอยู่แล้ว ได้ร่วมใจกันประหยัดต่อไป โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน แดดไม่จัดและอากาศไม่ร้อน จึงสามารถลดการใช้เครื่องปรับอากาศเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศ เช่นการลดชั่วโมงการใช้ การปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมคืออยู่ที่ระดับ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งประโยชน์ที่ได้นอกจากจะช่วยชาติประหยัดเงินตราของประเทศแล้ว ยังช่วยครอบครัวประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย" นายวีระพลกล่าวสรุป--จบ--
-ศน-