PROS โชว์ผลงานปี 64 บุ๊คกำไร 37.13 ลบ. ตั้งธงรายได้ปี 65 โต 10-15% ชงจ่ายปันผลครึ่งปีหลังอีก 0.03 บาท

01 Mar 2022

พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง (PROS) ประกาศผลประกอบการปี 2564 รายได้รวมอยู่ที่ 1,029.69 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 9.65 จากปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 37.13 ล้านบาท ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด ส่งผลให้ต้องปิดไซต์งานก่อสร้าง ล่าสุดตุนแบ็คล็อกแน่นๆ 2,200 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 2 ปี เปิดแผนปี 2565 ตั้งธงรายได้โต 10-15% มีแผนประมูลงานใหม่ๆ อีกกว่า 8,000 ล้านบาท ด้านบอร์ดไฟเขียวเสนอผู้ถือหุ้น จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.03 บาท/หุ้น ให้ Dividend yield ปี 2564 สูงถึง 91%

PROS โชว์ผลงานปี 64 บุ๊คกำไร 37.13 ลบ. ตั้งธงรายได้ปี 65 โต 10-15% ชงจ่ายปันผลครึ่งปีหลังอีก 0.03 บาท

นายพงศ์เทพ รัตนแสงสรวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PROS ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปี 2564 มีรายได้รวมจำนวน 1,029.69 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 939.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.65 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 37.13 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 51.13 ล้านบาท ทั้งนี้ สาเหตุมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนค่าวัสดุอุปกรณ์ตามราคาเหล็กและทองแดงในตลาดโลก และการขาดแคลนแรงงานของผู้รับเหมาช่วงจากผลกระทบของการเกิดโรคระบาด COVID-19

ปัจจุบันบริษัทต้องเร่งส่งมอบงานให้กับลูกค้าภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 หลายโครงการ โดยเป็นงานในมือที่ค้างมาจากปี 2564 เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิดที่มีการระบาดหลายระลอก ส่งผลให้ต้องปิดไซต์ก่อสร้าง ทำให้เกิดปัญหาการส่งมอบงานล่าช้า ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทยังเดินหน้ายื่นประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นงานของกลุ่มห้างสรรพสินค้า (Modern Trade) ห้างค้าปลีก (Department Store) สำนักงาน คอนโดมิเนียม และได้มีความร่วมมือกับพันธมิตรในการประมูลงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ส่วนของงานภาครัฐ บริษัทกำลังเข้ายื่นประมูลในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ส่วนกลุ่มงานโรงพยาบาล ยังมีโอกาสเข้าประมูลอย่างต่อเนื่อง ส่วนงานอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม ยังมีการขยายตัวจากแผนการลงทุนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยประเมินว่าเป้าหมายปีนี้ สัดส่วนงานภาครัฐปีนี้จะอยู่ที่ 40% และเอกชน 60% จากเดิมงานภาครัฐอยู่ที่ 30% และงานเอกชน 70%

อีกความท้าทายของบริษัทในปีนี้ คือเรื่องสถานการณ์ของการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งยอมรับว่าได้รับผลกระทบอยู่บ้าง เนื่องจากธุรกิจของ PROS ต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญในงานระบบวิศวกรรม แต่ทั้งนี้ทีมบริหารได้วางกลยุทธ์ ที่จะอบรมให้ความรู้และพัฒนาบุคลากรภายใน เพื่อรองรับงานในอนาคตมากขึ้น รวมถึงการจัดหาแรงงานต่างชาติเพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนในระยะยาว

นอกจากนี้ในส่วนของค่าวัสดุอุปกรณ์ เช่น ราคา PVC ทองแดง เหล็ก เป็นต้น มีการปรับราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 ทำให้ต้นทุนโครงการสูงขึ้น แต่ทั้งนี้บริษัทได้มีการจัดหาซัพพลายเออร์เพิ่ม มีการเจรจาต่อรองสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า เพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับแผนธุรกิจปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10-15% จากปีก่อน กลยุทธ์การเติบโตของบริษัท มีจุดแข็งคือการกระจายกลุ่มลูกค้า การรับงานตรงจากลูกค้าโดยเลือกลูกค้าที่มีฐานะการเงินมั่นคง และขยายสัดส่วนไปรับงานภาครัฐมากขึ้น รวมทั้งเลือกรับงานในกลุ่มลูกค้าเดิมที่เป็นงานระยะสั้น เพราะว่าได้เงินเร็วและสามารถควบคุมต้นทุนจากความผันผวนของราคาสินค้าได้ ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือราว 2,200 ล้านบาท

"สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวขึ้นจากปีก่อน โดยมองว่าหลังรัฐบาลประกาศเปิดประเทศตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ซึ่งภาคเอกชนเริ่มทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มคอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้าและค้าปลีก ที่เลื่อนแผนมาจากปี 2564 เนื่องจากสถานการณ์โควิด จะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินกิจการของบริษัท" นายพงศ์เทพ กล่าว

ด้านแผนการลงทุนปีนี้ บริษัทวางงบลงทุนไว้ราว 12 ล้านบาท ใช้สำหรับซื้อเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ รวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการงานหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต

ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นและตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงถึง 91 % จากนโยบายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวด 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 โดยยังเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวด 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 16.20 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 11 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565