TKC เคาะราคาไอพีโอ 18.00 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อ 7, 10 - 11 ม.ค.นี้ ปักธงเทรด 17 ม.ค. 65.

06 Jan 2022

บมจ.เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส หรือ "TKC" หนึ่งในผู้นำในธุรกิจให้บริการออกแบบ วางระบบ และบริการที่เกี่ยวข้องในงานวิศวกรรมสายงานระบบโทรคมนาคม ระบบสื่อสารข้อมูล และระบบความปลอดภัยสาธารณะ เคาะราคาขาย IPO จำนวน 78 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 18.00 บาท คาดได้เงินจากการระดมทุนราว 1,404.00 ล้านบาท กำหนดเปิดจองซื้อ 7, 10 - 11 ม.ค.นี้ พร้อมเทรดใน SET 17 ม.ค. 65 โดยมี "บล.คิงส์ฟอร์ด" เป็นแกนนำการเสนอขายหลักทรัพย์ พร้อมควงคู่ 2 โบรกเกอร์ชั้นนำ ด้าน "ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่" ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ย้ำความเชื่อมั่น TKC พื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานโดดเด่น จากการเติบโตของเทคโนโลยี 5G ตามเทรนด์ความต้องการใช้งานทางด้าน IoT AI ระบบคลาวด์ และโซลูชั่นส์อัจฉริยะต่างๆ เชื่อจะเป็นอีกหนึ่งหุ้นน้องใหม่ที่น่าจับตามอง

TKC เคาะราคาไอพีโอ 18.00 บาท/หุ้น                                                                 เปิดจองซื้อ 7, 10 - 11 ม.ค.นี้ ปักธงเทรด 17 ม.ค. 65.

นายวรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ TKC เปิดเผยว่า TKC กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 78 ล้านหุ้น ที่ราคา 18.00 บาท/หุ้น เปิดให้จองซื้อในวันที่ 7, 10 - 11 ม.ค. และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 17 มกราคม 2565 ในหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอุตสาหกรรม ในชื่อหลักทรัพย์ว่า "TKC"
สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 18.00 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 17.54 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ 1 ต.ค.63-30 ก.ย.64)

ล่าสุด TKC ได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 2 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน)

นายสยาม เตียวตรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ TKC เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ ประมาณ 1,404.00 ล้านบาท นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ เช่น โครงการเกี่ยวกับระบบโทรคมนาคม ระบบโครงข่ายสื่อสัญญาณ(Transmission Networks) ระบบศูนย์ข้อมูลหลัก ศูนย์ข้อมูลสำรอง ระบบคลาวด์ Smart Solutions ระบบวิทยุสื่อสารดิจิทัลและระบบตรวจสอบเฝ้าระวัง และการบริหารความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Security) รวมถึงงานบริการเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง เป็นต้น ภายในปี 2565-2566

โดยบริษัทวางกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นที่หนึ่งในธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่น ครอบคลุมด้านโทรคมนาคมและไอซีที มุ่งเน้นธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต เช่น ธุรกิจระบบ Smart Solutions, Smart Logistics ธุรกิจ Cyber Security โฟกัสที่อินฟราสตรัคเจอร์ ระบบคลาวด์แบบไฮบริด อุปกรณ์โดรน ที่เกี่ยวกับสมาร์ทฟาร์มมิ่ง โดรนที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์ ทำแผนที่ โดยตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้นำด้านเหล่านี้ในอีก 1-3 ปีข้างหน้า

การเข้าจดทะเบียนใน SET ครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ TKC มีศักยภาพและความพร้อมสูงในการเติบโตรองรับความต้องการของลูกค้า โดยคาดว่าธุรกิจโทรคมนาคมจะขยายตัวรับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในเรื่อง Thailand 4.0 เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้มีการลงทุนในเทคโนโลยี 5G และการก่อสร้างระบบเครือข่ายและอุปกรณ์สื่อสารชนิดต่างๆ เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้ข้อมูล Non-Voice ที่ขยายตัวจากการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ และรายได้จากธุรกิจ Fixed Broadband ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การบริการที่ประยุกต์ใช้ 5G มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น เช่น บริการ Cloud Data Center ยานยนต์ไร้คนขับ และ Smart Solutions ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้การใช้ธุรกรรมออนไลน์ การเก็บข้อมูลและประมวลผลโดยใช้ Cloud การใช้งานอุปกรณ์ IoT ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการด้าน Cyber Security มากขึ้นเพื่อป้องกันข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์

TKC เป็นผู้เชี่ยวชาญและชำนาญด้านการวางระบบเครือข่ายสื่อสารและเทคโนโลยี ดำเนินธุรกิจให้บริการรับเหมาออกแบบ วางระบบ จัดหาอุปกรณ์ ติดตั้ง ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบงานวิศวกรรมในสายงานระบบโทรคมนาคม ระบบสื่อสารข้อมูล และ ระบบความปลอดภัยสาธารณะ โดยบริษัทฯ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเจ้าของผลิตภัณฑ์โทรคมนาคม และเครือข่ายสารสนเทศชั้นนำระดับโลก เช่น Huawei, Nokia, Cisco, Verint, Oracle, Netka System, XOVIS, Fortinet เป็นต้น ให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรต่างๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประกอบกับ ประเทศไทยเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี ทำให้ธุรกิจอยู่ในเทรนด์การเติบโต โดยโครงสร้างรายได้ในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มาจากงานโครงการมากกว่า 64% รายได้จากงานบริการและบำรุงรักษากว่า 35% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากงานจัดจำหน่าย

ด้านนางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความน่าสนใจของ TKC มีจุดแข็งและกลยุทธ์ในความเชี่ยวชาญตลอดระยะเวลามากกว่า 18 ปี ที่บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนา ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์การทำงานด้านรับเหมาการสื่อสารและโทรคมนาคม ทำให้เข้าใจอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี เตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากร ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอนาคต มีระบบการควบคุมบริหารจัดการแต่ละส่วนงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้จากการเป็นผู้รับเหมามาก่อนทำให้บริหารต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่ง และการมีทีมวิศวกร In-House ที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญ ทำให้บริษัทฯ สามารถแข่งขันได้ทั้งในแง่ความสามารถในการบริการและราคา รวมถึงมีการดูแลและการให้บริการหลังการขายที่สร้างความพึงพอใจและความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่น ไว้ใจและใช้บริการต่อเนื่อง

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนและพัฒนาเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยี 5G ตามความต้องการใช้งานทางด้าน IoT AI ระบบคลาวด์ และโซลูชั่นส์อัจฉริยะต่างๆ เป็นต้น เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต

สำหรับผลประกอบการช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (61-63) บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,669.65 ล้านบาท 4,907.25 ล้านบาท และ 2,881.92 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรสุทธิ 216.50 ล้านบาท 423.03 ล้านบาท และ 232.85 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 5.90 ร้อยละ 8.62 และร้อยละ 8.09 ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากการบริหารต้นทุนที่ดีทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ประกอบกับความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดีขึ้น

ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 64 มีรายได้รวม 1,835.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.06 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสัดส่วนร้อยละ 99.86 เป็นรายได้จากการขายและให้บริการ และร้อยละ 0.14 เป็นรายได้อื่น มีกำไรสุทธิ 191.07 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 10.41