ธ.ทิสโก้แนะกระจายพอร์ตลงทุนหุ้นม้ามืด New Economy ยุโรป ราคาหุ้นถูกกว่าตลาดสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี

07 Sep 2021

ธนาคารทิสโก้ชี้ ตลาดหุ้นยุโรปเริ่มฉายแววเด่นอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดี ฉีดวัคซีนครบโดสถึง 70% ของประชากร นโยบายการเงินยังผ่อนคลายอีกนาน แถมราคาหุ้นถูกกว่าสหรัฐฯ ชี้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ New Economy เช่น พลังงานสะอาด ธุรกิจดิจิทัล มีโอกาสสร้างผลตอบแทนดี รับนโยบายอัดฉีดเม็ดเงินก้อนโตจากสหภาพยุโรป เหมาะสำหรับกระจายลงทุนในช่วงตลาดหุ้นผันผวนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ จ่อปรับลด QE และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในช่วงถัดไป

ธ.ทิสโก้แนะกระจายพอร์ตลงทุนหุ้นม้ามืด New Economy ยุโรป  ราคาหุ้นถูกกว่าตลาดสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) วันที่ 21-22 กันยายนนี้ หาก Fed ส่งสัญญาณลดการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) รวมถึงส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแรงในปี 2567 ต่อเนื่องจากที่เคยส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2566 อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนได้

ดังนั้น เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ในช่วงนี้ธนาคารทิสโก้ได้แนะนำให้ลูกค้ามั่งคั่งสูง ทยอยเพิ่มน้ำหนัก และกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีจากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรกว่า 70% อีกทั้งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายกว่าสหรัฐฯ รวมทั้งราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และสหภาพยุโรปยังอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง

"เมื่อ Fed ส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มข้น ย่อมส่งผลให้เงินลงทุนจะไหลเข้าไปหาตลาดหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น ซึ่งธนาคารทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นยุโรปน่าจะได้รับอานิสงส์นี้ เพราะเศรษฐกิจยุโรปเริ่มทยอยฟื้นตัวจากการคลาย Lockdown ในหลายประเทศ และประชากรกว่า 70% หรือประมาณ 250 ล้านคนได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว รวมถึงนโยบายการเงินยังคงผ่อนคลายกว่าในสหรัฐฯ โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ PEPP 1.85 ล้านล้านยูโร ซึ่งจะครบกำหนดเดือน มีนาคม 2565 อีกทั้งยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำไปจนถึงต้นปี 2566" นายณัฐกฤติกล่าว

นอกจากนี้ หากประเมินมูลค่าระหว่างตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯ พบว่า Forward P/E ของยุโรป (Stoxx600) อยู่ที่ระดับ 16 เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ที่อยู่ระดับ 22 เท่า ทำให้ค่าส่วนต่างระหว่าง Forward P/E ของยุโรปและสหรัฐฯ ต่างกันถึง 35% ซึ่งเป็นระดับที่มากที่สุดในรอบ 10 ปี อีกทั้ง บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยุโรปก็มีมีโอกาสเติบโตดี สะท้อนจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น Stoxx600 ที่ประกาศออกมาในไตรมาส 2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงกว่า 240% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มหุ้นที่มีความโดดเด่นในตลาดหุ้นยุโรป และธนาคารแนะนำให้ทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้แก่ หุ้นในกลุ่ม "New Economy" เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสังคมดิจิทัล เนื่องจากในปี 2563 ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้ผ่านร่างงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ (EU Recovery Fund) วงเงิน 1.82 ล้านล้านยูโร ซึ่งเป็นวงเงินที่สูงที่สุดที่เคยทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติสมาชิกจากผลกระทบวิกฤต COVID-19 โดยในวงเงินจำนวนนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ เน้นใช้เงินไปกับการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศ (Green Deal) กว่า 30% และอีก 20% ใช้สำหรับเปลี่ยนแปลงยุโรปเข้าสู่สังคมดิจิทัล (Digital EU) ที่จะเปลี่ยนให้ยุโรปเติบโตไปกับ New Economy และผลักดันให้เกิดการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve)

นายณัฐกฤติกล่าวอีกว่า ปัจจุบันยุโรปนับว่าเป็นกลุ่มประเทศที่รวมธุรกิจด้าน Green Energy ยักษ์ใหญ่มากที่สุดในโลก โดย 10 บริษัทด้าน Green Energy ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นยุโรปมากถึง 8 บริษัท เช่น ผู้นำด้านพลังงานลมและแสงอาทิตย์อย่างบริษัท Orsted และ Vestas Wind จากประเทศเดนมาร์ค อีกทั้งสภาพยุโรปยังมีนโยบายเปลี่ยนรถบนถนนให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 30 ล้านคันภายในปี 2573 โดยบริษัทมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในยุโรปอย่างบริษัท Volkswagen (VW) คาดการณ์ว่ายอดขายรถ Battery Electric Vehicle (BEV) ของ Volkswagen ทั่วโลกจะสูงกว่า TESLA ภายในปี 2565 นอกจากนี้ภายในปี 2568 สภาพยุโรปตั้งเป้าจะเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

ในส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลในยุโรปก็มีโอกาสเติบโตได้อย่างโดดเด่น ตามการเข้าสู่สังคมดิจิทัลของยุโรป โดยในช่วงที่ผ่านมามี Platform และ E-commerce เกิดขึ้นใหม่หลายบริษัท เช่น บริษัท HelloFresh ของประเทศเยอรมนี ที่ให้บริการจัดส่ง Meal Kits ชุดอาหารพร้อมปรุงที่มีวัตถุดิบต่างๆ มาให้ลูกค้าปรุงเองที่บ้าน โดยมีฐานลูกค้าครอบคลุม 14 ประเทศทั่วโลก ได้จัดส่งชุด Meal Kits มากกว่า 600 ล้านชุด ซึ่งในปี 2563 สร้างรายได้สูงกว่า 3,749 ล้านยูโร เติบโตกว่า 107% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และบริษัทคาดว่าในปี 2564 รายได้จะเติบโตประมาณ 35-45%