TACC เซ็นต่อสัญญาร่วมธุรกิจกับ 7-Eleven อีก 3 ปี ตอกย้ำความเชื่อมั่นการเป็นพันธมิตรอย่างยั่งยืน ลุยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน ผลักดันการเติบโตมั่นคง

01 Sep 2021

บมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC) เผยเซ็นสัญญาซื้อขายร่วมธุรกิจกับ 7-Eleven ต่อไปอีก 3 ปี ถึงปี 2567 เรียบร้อยแล้ว และเป็นการต่อสัญญาอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 สะท้อนความเชื่อมั่นตอกย้ำการเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันอย่างยั่งยืน ฟาก "ชัชชวี วัฒนสุข" ระบุเดินหน้าร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด พร้อมกับนำสินค้าเข้าไปอยู่ในบริการ Delivery Platform มีแนวโน้มเติบโตสูง สนับสนุนยอดขายเติบโตอย่างมั่นคงไปด้วยกัน

TACC เซ็นต่อสัญญาร่วมธุรกิจกับ 7-Eleven อีก 3 ปี ตอกย้ำความเชื่อมั่นการเป็นพันธมิตรอย่างยั่งยืน ลุยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน ผลักดันการเติบโตมั่นคง

นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เซ็นต่อสัญญาซื้อขายร่วมธุรกิจ กับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจระหว่างกัน โดยเป็นสัญญาซื้อขายสินค้า(Exclusive Contract) ประเภทเครื่องดื่มเข้าไปจำหน่ายในร้าน 7-Eleven เป็นระยะเวลา 3 ปี ถึงปี 2567 ทั้งนี้ การต่อสัญญาในครั้งนี้ถือเป็นการต่อสัญญาในครั้งที่ 3 โดยสะท้อนให้เห็นถึงการร่วมเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันอย่างยั่งยืน

"การเซ็นสัญญาในครั้งนี้เป็นการสร้างความเชื่อมั่นตอกย้ำการเป็นพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจของทั้งสองฝ่ายร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบัน TACC และ CPALL ยังคงดำเนินการซื้อขายระหว่างกันตามปกติ โดยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดด้วยการแลกเปลี่ยนแนวคิดร่วมกันในการกำหนดแผนธุรกิจ พัฒนาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบริษัทฯเป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายที่ดำเนินงานร่วมกับ7-Eleven ภายใต้ความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจต่อกัน ส่งผลทำให้บริษัทฯได้รับโอกาสในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯมียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณ CPALL ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ซึ่งมั่นใจว่าจะมีการร่วมธุรกิจกันต่อไปในระยะยาว"

ประธานกรรมการบริหาร กล่าวอีกว่าสำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ TACC ในครึ่งปีหลังภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้น บริษัทฯจะดำเนินงานอย่างระมัดระวัง และคาดว่าจะเติบโตตามสถานการณ์การฟื้นตัว เมื่อมีการคลายมาตรการล็อคดาวน์ โดยบริษัทฯจะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และการเข้าไปร่วมอยู่ในบริการ Delivery Platform ซึ่งเป็น Platform ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างน่าสนใจ

รวมทั้งยังมีแผนจะรุกขยายไปยังกลุ่ม Cafe Business เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ธุรกิจคาแรคเตอร์ เป็นธุรกิจที่บริษัทฯให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันมีคาเรคเตอร์ ประกอบด้วย "Rilakkuma" , "หมาจ๋า" , "Jay The Rabbit" และ "Warbie Yama" โดย "หมาจ๋า" , "Jay The Rabbit" และ"Warbie Yama" เป็นคาแรคเตอร์ฝีมือคนไทย ที่มีผลตอบรับที่ดีเทียบเท่า "Rilakkuma" คาแรคเตอร์ ลิขสิทธิ์ของประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้บริษัทฯยังเดินหน้า นโยบายการบริหารจัดการด้านการดำเนินงานและต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ สามารถปรับตัวรองรับกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและรวดเร็วทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยมั่นใจว่าจะสามารถผ่านวิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้ไปได้