กสิกรไทยเซ็นขายประกันให้เมืองไทยประกันชีวิต 10 ปี รับค่าตอบแทน 12,700 ล้านบาท หวังร่วมพัฒนาบริการและช่องทางขาย ก้าวเป็นผู้นำในตลาดประกันชีวิต

02 Jul 2021

กสิกรไทยจับมือเมืองไทยประกันชีวิต เซ็นเป็นพันธมิตรใกล้ชิดขายประกันผ่านแบงก์และบริษัทย่อย 5 บริษัท เป็นเวลา 10 ปี รับค่าตอบแทน 12,700 ล้านบาท พร้อมร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการขายใหม่ ๆ เพื่อก้าวเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดประกันชีวิตในไทย

กสิกรไทยเซ็นขายประกันให้เมืองไทยประกันชีวิต 10 ปี รับค่าตอบแทน 12,700 ล้านบาท หวังร่วมพัฒนาบริการและช่องทางขาย ก้าวเป็นผู้นำในตลาดประกันชีวิต

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้พิจารณาข้อเสนอและเข้าทำสัญญาจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต (Bancassurance Agreement) ให้กับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารและบริษัทย่อยของธนาคาร 5 บริษัท แต่เพียงผู้เดียว ได้แก่ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด บริษัท แฟคเตอรี แอนด์ อีควิปเมนท์ กสิกรไทย จำกัด บริษัท โพรเกรส มัลติ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด และบริษัทย่อยอื่นที่อาจจะจัดตั้งขึ้นในอนาคตจากการปรับโครงสร้างธุรกิจหลักของธนาคาร ในช่องทางการจำหน่ายของธนาคารและบริษัทย่อยทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อาทิ สาขา พนักงานสาขา เอทีเอ็ม พนักงานประจำและชั่วคราว และบุคคลอื่น เช่น ตัวแทน รวมถึง ช่องทางดิจิทัล การตลาดทางตรง (Direct Marketing) และการตลาดผ่านทางโทรศัพท์ (Telemarketing)

ทั้งนี้ สัญญาจะมีระยะเวลา 10 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 และจะมีผลบังคับใช้เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคาร พร้อมให้ยกเลิกและแทนที่สัญญาจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านธนาคารฉบับเดิม ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2552 โดยธนาคารจะได้รับค่าตอบแทนจากการให้สิทธิในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแก่ลูกค้าผ่านช่องทางธนาคารและบริษัทย่อยแก่เมืองไทยประกันชีวิตเป็นมูลค่า 12,700 ล้านบาท นอกจากนั้นยังจะได้รับค่าตอบแทนตามผลการดำเนินการขาย และค่านายหน้าในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตอีกด้วย โดยสัญญาอาจสิ้นสุดลงก่อน 10 ปีได้ หากผลการดำเนินธุรกิจถึงเกณฑ์ที่กำหนด และสามารถต่ออายุได้ไม่เกิน 2 ปี ในกรณีที่ผลการดำเนินธุรกิจไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด

นางสาวขัตติยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำสัญญาในครั้งนี้ เนื่องจากธนาคารมีความมั่นใจว่า เมืองไทยประกันชีวิต เป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำของประเทศ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เชี่ยวชาญในตลาดประกันชีวิต และผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทุกกลุ่มของธนาคาร เห็นได้จากเมืองไทยประกันชีวิตสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งและอันดับสองจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านช่องทางการจำหน่ายผ่านธนาคารในช่วงปี 2561 - 2563

ดังนั้น การเป็นพันธมิตรระยะยาวอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้การพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ต้องลงทุนร่วมกันระยะยาว เช่น การลงทุนด้านไอทีเพิ่มมากขึ้น จะนำไปสู่การให้บริการผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกค้าและได้รับผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังลูกค้าของธนาคารตามช่องทางต่าง ๆ ที่ปัจจุบันยังเข้าไม่ถึงได้ในอนาคต

ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยมีสัดส่วนการถือหุ้นนับรวมแบบสัดส่วนผลประโยชน์สุทธิ (Effective Shareholding) ในเมืองไทยประกันชีวิตคิดเป็น 38.25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยในปี 2563 ธนาคารมีรายได้จากการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและส่วนแบ่งในกำไรของเมืองไทยประกันชีวิตทั้งหมด รวมประมาณ 9,000 ล้านบาท

ด้านนายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้สานต่อความร่วมมืออันแน่นแฟ้นที่มีกันมาอย่างยาวนานกับธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเรามีความตั้งใจที่จะต่อยอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับธนาคารกสิกรไทยให้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยความร่วมมือระยะยาวครั้งนี้ เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสององค์กรในการวางเป้าหมายและพร้อมเป็นผู้นำที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรวมถึงความคุ้มครองสุขภาพอย่างเป็นเลิศ

นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นถึงโอกาสในการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการในรูปแบบใหม่ รวมไปถึงการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่ของบุคลากรให้พร้อมรองรับกับโลกยุคดิจิทัล ตลอดจนเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มของธนาคาร

ธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งเสมอมา และตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยบริการด้านการเงินที่ครบวงจร สำหรับความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่เสริมการให้บริการทางการเงินของธนาคารได้อย่างครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าของธนาคาร